คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13148-13151/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลหนี้ค่าเบี้ยประกันที่ฟ้องให้จำเลยชำระแก่โจทก์เป็นจำนวนเดียวกันกับมูลหนี้ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลฟังว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคแรก คำพิพากษาต้องผูกพันโจทก์ว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์ เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยซึ่งจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ย่อมหยิบยกมาตรา 145 วรรคแรก ขึ้นมาวินิจฉัยว่า โจทก์ผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้น และไม่อาจนำมูลหนี้เดิมมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกได้

ย่อยาว

คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกโจทก์ทั้งสี่สำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งสี่สำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 927,557.93 บาท 506,654.90 บาท 1,487,456.45 บาท และ 1,132,238.04 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 661,967.14 บาท 365,201.76 บาท 1,382,359.28 บาท และ 827,278.32 บาท ตามลำดับ นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่สำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่สำนวน ค่าฤชาธรรมเนียมแต่ละสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสี่สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์รวมสี่สำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก ขึ้นวินิจฉัยว่า คำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้นซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยผูกพันโจทก์และจำเลย โจทก์ไม่อาจนำมูลดีเดียวกันมาฟ้องอีกได้นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้นศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ว่า มีเพียงผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาเบิกความว่าการตรวจสอบเอกสารจากเจ้าหน้าที่การเงินพบว่าจำเลยเก็บเงินจากลูกค้าแล้ว มิได้นำมาส่งมอบโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีเอกสารมาแสดงเลย คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังยุติว่า มูลหนี้ค่าเบี้ยประกันที่ฟ้องให้จำเลยชำระแก่โจทก์เป็นจำนวนเดียวกันกับมูลหนี้ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้นที่ศาลฟังว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคแรก คำพิพากษาต้องผูกพันโจทก์ว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยแก่โจทก์ เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยซึ่งจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ย่อมหยิบยก มาตรา 145 วรรคแรก ขึ้นมาวินิจฉัยว่า โจทก์ผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ล.24/2543 ของศาลชั้นต้น และไม่อาจนำมูลหนี้เดิมมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง โจทก์ทั้งสี่สำนวนฎีกาแต่เพียงขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ มิได้ขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียงสำนวนละ 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่มีการฟ้องคดี แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินแก่โจทก์
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนที่เกิน 800 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share