แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 5 ร่วมไปในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางกับจำเลยอื่น ทั้งร่วมไปดูเงินของฝ่ายผู้ซื้อและเดินกลับไปด้วยกันโดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยอื่นกำลังร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีน เป็นการ แบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะที่ทุกคนมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิดถือได้ว่าจำเลยที่ 5 เป็นตัวการ หาใช่ผู้สนับสนุนไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10,000 เม็ด น้ำหนักรวม 758 กรัมคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 124.3 กรัม เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายและร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้ล่อซื้อในราคา 500,000 บาท โดยฝ่าฝืนกฎหมายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 18 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละกึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 9 ปี และจำคุกจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 คนละ 12 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจประจำกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดจับกุมจำเลยทั้งห้าได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีน 10,000 เม็ด เป็นของกลาง โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวอันเป็นความผิดซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 หรือไม่
ที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า คำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชาญชัยไม่น่าเชื่อถือเพราะเพิ่งได้รับแจ้งจากสายลับในวันเกิดเหตุโดยไม่ได้มีการสืบสวนมาก่อนแต่มีการยืมเงินของทางราชการไว้ใช้ล่อซื้อตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2539ก่อนเกิดเหตุถึง 2 วัน ตามเอกสารหมาย จ.4 นั้น เห็นว่า แม้จ่าสิบตำรวจชาญชัยจะเบิกความว่าไม่ได้มีการสืบสวนมาก่อนก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่าเจ้าพนักงานตำรวจคนอื่นจะมิได้มีการสืบสวน จากข้อความในบันทึกข้อความขออนุมัติยืมเงินเอกสารหมาย จ.4 เห็นได้ชัดว่ามีการสืบสวนจนทราบเรื่องมาก่อนแล้วจึงได้มีการยืมเงินจากทางราชการไปใช้ในการล่อซื้อและการที่มีการเจรจาซื้อขายกันระหว่างจ่าสิบตำรวจชาญชัยกับจำเลยที่ 4โดยที่ยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็หาเป็นพิรุธแต่อย่างใดไม่ เพราะมีสายลับเป็นคนกลางแนะนำให้รู้จักกันแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า จ่าสิบตำรวจชาญชัยเบิกความว่าพาจำเลยที่ 4 ไปดูเงินภายในรถซึ่งติดฟิล์มกรองแสงแต่พันตำรวจตรีวราพงษ์เบิกความว่าเห็นการดูเงินทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างจากรถถึง30 เมตร จึงไม่น่าเชื่อนั้น เห็นว่า พันตำรวจตรีวราพงษ์อาจเบิกความไปตามที่เห็นประกอบกับความเข้าใจของตนเองว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นภายในรถ และลำพังคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชาญชัยก็มีน้ำหนักรับฟังได้อยู่แล้ว เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จ่าสิบตำรวจชาญชัยจะกลั่นแกล้งเฉพาะจำเลยที่ 4 เพียงคนเดียว ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 4ก็ให้การรับสารภาพ โดยเฉพาะในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 4 ให้การไว้มีรายละเอียดสอดคล้องกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชาญชัยด้วยที่จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ลงชื่อในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.9 ไปโดยมิได้อ่านข้อความนั้น เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยเพราะจำเลยที่ 5 ก็ให้การปฏิเสธตั้งแต่วันเกิดเหตุ เพิ่งจะให้การรับสารภาพในวันรุ่งขึ้นตามเอกสารหมาย จ.10 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็รับสารภาพในชั้นพิจารณาสำหรับจำเลยที่ 3 เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้วก็มิได้อุทธรณ์ แสดงว่าพนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของจำเลยทุกคนอย่างตรงไปตรงมาตามที่จำเลยทุกคนให้การ ข้อพิรุธอื่น ๆ ของพยานโจทก์นอกจากนี้เป็นเพียงพลความ มิใช่ข้อสาระสำคัญในอันที่จะทำให้น้ำหนักในการรับฟังน้อยลง
สำหรับจำเลยที่ 5 ฎีกาเพียงข้อเดียวว่า การกระทำของจำเลยที่ 5เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเท่านั้น มิใช่ตัวการขอให้กำหนดโทษจำเลยที่ 5 ให้เบาลง ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 5 มิได้โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา จึงรับฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยที่ 5 ไปที่ที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 4และไปกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพื่อดูเงินในรถของจ่าสิบตำรวจชาญชัยในครั้งหลังแล้วเดินไปที่ประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า ต่อมาจำเลยที่ 5 ก็ถูกจับกุมในบริเวณนั้นดังนี้ การที่จำเลยที่ 5 ร่วมไปในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางกับจำเลยอื่นทั้งร่วมไปดูเงินของฝ่ายผู้ซื้อและเดินกลับไปด้วยกันโดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยอื่นกำลังร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีน เช่นนี้เห็นได้ว่า เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำในลักษณะที่ทุกคนมีเจตนาร่วมกันกระทำความผิด การกระทำของจำเลยที่ 5จึงถือได้ว่าเป็นตัวการหาใช่ผู้สนับสนุนไม่ อย่างไรก็ตาม เห็นว่า จำเลยที่ 5เป็นหญิงการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมีเพียงร่วมไปด้วยและไปดูเงินของผู้ซื้อเท่านั้น สมควรกำหนดโทษให้เบากว่าจำเลยอื่น”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ 5 ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 5 ไว้มีกำหนด 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์