แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินมือเปล่า 22 ไร่ พ. ยกให้โจทก์และ น.สามีเป็นของรับไหว้ในวันแต่งงาน จึงเป็นสินสมรส น. และโจทก์เป็นบิดามารดาจำเลย เมื่อ น.ตายโจทก์มีส่วนแบ่งในฐานะภริยาและทายาท จำเลยมีส่วนแบ่งในฐานะทายาท แต่ยังไม่ได้แบ่งกัน จำเลยกับบุตรคนอื่น ๆ ของ น. และโจทก์เข้าทำนาและมีบ้านเรือนถาวรอยู่ในที่ดินแปลงนี้ บุตรคนหนึ่งช่วยโจทก์ทำนาและโจทก์ไป ๆ มา ๆ ที่บ้านบุตรโจทก์ในที่ดินถือว่าโจทก์จำเลยและทายาทอื่น ๆ ใช้สิทธิครอบครองร่วมกันและแทนกันมีฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน ซึ่งเจ้าของรวมคนหนึ่งจะจำหน่ายทรัพย์สินโดยเจ้าของรวมคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง ฉะนั้นเมื่อโจทก์ไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอขายที่ดินบางส่วนของที่พิพาท กับขอให้ออก น.ส.3 ให้ด้วย จำเลยจึงมีสิทธิขัดขวางและยื่นคำร้องคัดค้านได้ โจทก์จะมาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน ๒๒ ไร่ตามหนังสือแจ้งการครอบครอง โจทก์ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอขายที่ดินนี้เนื้อที่ ๓ ไร่เศษ และขอออก น.ส.๓ ด้วย จำเลยซึ่งเป็นบุตรของโจทก์คัดค้าน จึงขอให้ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของนายนาคบิด บิดาตายแล้ว ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยและน้อง ๆ บิดายกที่ดิน ๙ ไร่ให้จำเลย จำเลยคัดค้านไม่ยอมให้โจทก์ขายเพราะเป็นที่ดินของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
คู่ความรับกันว่า พิพาทกันในที่ดินส่วนที่จำเลยเป็นฝ่ายครอบครอบครอง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนายนาคนับแต่นายนาคถึงแก่กรรมตลอดมา จำเลยไม่มีอำนาจขัดขวางมิให้โจทก์ขายที่พิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า นายพุ่มลุงนายนาคยกให้นายนาคกับโจทก์เป็นของรับไหว้ตอนแต่งงาน จึงเป็นสินสมรสของนายนาคกับโจทก์ เมื่อนายนาคถึงแก่กรรม ที่ดินเฉพาะส่วนของนายนาคจึงเป็นทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาท โจทก์ผู้เป็นภริยาย่อมมีส่วนแบ่งที่ดิน ๒๒ ไร่ทั้งในฐานะภริยาและในฐานะทายาทตามกฎหมาย ระหว่างนายนาคมีชีวิตอยู่ นายนาคไม่เคยแบ่งทรัพย์ให้แก่บุตร ประกอบกับจำเลยและบุตรคนอื่นของโจทก์กับนายนาคมีนางถวิล, นายนิตย์ ได้เข้าทำนาอยู่ในที่ดินแปลงนี้ มีบ้านเรือนปลูกอยู่อย่างถาวรโดยไม่ปรากฏว่ามีการแบ่งกัน และเมื่อนายนาคถึงแก่กรรมแล้ว นายนิตย์ยังช่วยโจทก์ทำนา ส่วนโจทก์นั้นปกติอยู่กับนางกลั่นบุตรสาวที่บ้านลำใยตก ไป ๆ มา ๆ ที่บ้านนางถวิลในที่ดิน พฤติการณ์ดังกล่าวมาศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยอาศัย เหตุที่จำเลยไม่เรียกร้องทรัพย์มรดกนายนาคเพราะเข้าใจว่าโจทก์ซึ่งเป็นมารดาจะต้องแบ่งให้จำเลยและน้อง ๆ จึงถือได้ว่าโจทก์จำเลยและทายาทอื่นใช้สิทธิครอบครองร่วมกันแทนกันมามีฐานะเป็นเจ้าของรวมกัน ซึ่งเจ้าของรวมคนหนึ่งจะจำหน่ายทรัพย์สินโดยเจ้าของรวมคนอื่นมิได้ยินยอมด้วยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๑ วรรคสอง ฉะนั้นเมื่อโจทก์ไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอขายที่ดินบางส่วนของที่พิพาท กับขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ให้ด้วย จำเลยจึงมีสิทธิขัดขวางและยื่นคำร้องคัดค้านได้ โจทก์จะมาฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องหาได้ไม่
พิพากษายืน