แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตัวแทนของโจทก์ทำสัญญาขายที่ดินให้จำเลย ในสัญญาระบุไว้ด้วยว่าผู้ซื้อได้ชำระและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินแล้วต่อมาตัวแทนโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญากันอีกฉบับหนึ่งมีใจความว่า ได้ตกลงขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลย แต่ยังไม่ได้ชำระราคาที่ดินต่อกันโดยผู้ขายยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อไปก่อนและผู้ซื้อจะชำระค่าที่ดินให้ภายในกำหนดวันที่ระบุไว้ ดังนี้ แม้ในสัญญาฉบับแรกจะได้ระบุไว้ว่าผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว โจทก์ก็ยังมีสิทธินำสืบได้ว่าได้มีการตกลงทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งแก้ไขหนังสือสัญญาขายที่ดินเดิมในเรื่องเงินค่าที่ดินว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระให้และจะชำระกันอย่างไร ไม่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 84,85, 86, 87, 88, 89, 90, 91, 92, 93, 94, 95, 96, 97, 98, 99, 100,101, 102 และ 103 ตำบลทับหลวง อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี และได้มอบอำนาจให้นายศิริ อินทร์เมือง เป็นตัวแทนขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยในราคา 1,000,000 บาท เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2511นายศิริ อินทร์เมือง ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินทั้ง 20 แปลงนั้นให้จำเลย และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้จดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แล้ว แต่จำเลยยังไม่ได้ชำระราคาให้ ดังนั้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2511 จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาให้นายศิริ อินทร์เมือง ในฐานะตัวแทนของโจทก์ไว้เป็นหลักฐาน มีข้อความว่า จำเลยจะชำระราคาที่ดินทั้ง 20 แปลงให้นายศิริ อินทร์เมือง หรือโจทก์ภายในวันที่ 31 มกราคม2512 ถ้าผิดนัด จำเลยต้องโอนที่ดินคืนให้ทันที ปรากฏตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ครั้นถึงกำหนด จำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาที่ดิน1,000,000 บาทให้ ขอให้บังคับจำเลยทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 20 แปลงตามฟ้องคืนให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่ถ้าจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ก็ให้ชดใช้เงิน 1,000,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายศิริ อินทร์เมือง ไถ่ถอนการจำนองที่ดินรวม 20 โฉนดตามฟ้อง ซึ่งโจทก์จำนองไว้กับบริษัทเกียรตินันทวัฒน์ จำกัด แล้วในวันที่ 17 ธันวาคม 2511 นายศิริอินทร์เมือง ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวในนามของโจทก์ผู้ขายให้จำเลยเป็นเงิน 1,000,000 บาท โดยจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดอุทัยธานี และจำเลยได้ชำระเงินให้นายศิริ อินทร์เมือง แล้ว ตามใบรับเงินลงวันที่ 29 พฤศจิกายน2511 ส่วนหนังสือสัญญาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2511 เป็นสัญญาระหว่างจำเลยกับนายศิริ อินทร์เมือง เมื่อนายศิริ อินทร์เมือง ถึงแก่กรรมสัญญานี้จึงสิ้นสุดลง โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า การซื้อขายที่พิพาทระหว่างนายศิริ อินทร์เมือง ตัวแทนโจทก์ให้จำเลยนั้นจำเลยยังไม่ได้ชำระราคาให้ แต่นายศิริ อินทร์เมือง โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยไปก่อน จึงพิพากษาให้จำเลยทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 20 แปลง ตามฟ้องคืนให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย 15,000 บาท แทนโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์10,000 บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยฎีกาใจความว่า ตามสัญญาซื้อขายระบุว่าโจทก์ได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว โจทก์จะสืบพยานบุคคลว่ายังไม่ได้รับเงินไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และความจริงจำเลยก็ได้ชำระค่าที่ดินให้นายศิริ อินทร์เมือง ตัวแทนโจทก์ไปแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยอาศัยสัญญาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2511เพราะนายศิริ อินทร์เมือง ไม่ได้ทำสัญญานี้ในฐานะตัวแทนโจทก์ทั้งสัญญานี้ตกเป็นโมฆะเพราะไม่ได้จดทะเบียน แต่แม้จะฟังว่านายศิริอินทร์เมือง เป็นตัวแทนโจทก์ การตั้งตัวแทนนี้ก็ไม่ได้ทำเป็นหนังสือจึงเป็นโมฆะดุจกัน และจำเลยมีสิทธินำสืบได้ว่าสัญญานี้เกิดขึ้นโดยเจตนาลวง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องรวม 20 โฉนด โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายศิริ อินทร์เมือง ขายกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยทำการไถ่ถอนจำนองจากบริษัทเกียรตินันทวัฒน์ จำกัด ก่อน ปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจหมาย ล.1 ครั้นวันที่ 17 ธันวาคม 2511 นายศิริอินทร์เมือง ได้จัดการไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้ง 20 โฉนดนั้นให้จำเลยในราคา 1,000,000 บาท ซึ่งในสัญญาขายที่ดินนี้ได้ระบุไว้ด้วยว่า ผู้ซื้อได้ชำระและผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินรายนี้เสร็จแล้วตามใบรับเงินลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2511 ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.4 ต่อมานายศิริ อินทร์เมือง กับจำเลยได้ทำสัญญาลงวันที่ 27ธันวาคม 2511 กันอีกฉบับหนึ่งใจความว่า ได้ตกลงขายที่ดินทั้ง 20 โฉนด ดังกล่าวให้จำเลยในราคา 1,000,000 บาท แต่ยังไม่ได้ชำระราคาที่ดินต่อกัน โดยผู้ขายยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อไปก่อนเพื่อผู้ซื้อจะได้นำที่ดินตามโฉนดไปจำนองต่อธนาคาร และผู้ซื้อจะชำระเงินค่าที่ดินให้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2512 (เอกสารหมาย จ.1)
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์จะนำสืบว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินค่าที่ดินให้โจทก์ได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2511 (หมาย ล.4) จะระบุไว้ว่าผู้ขายได้รับเงินค่าที่ดินแล้ว แต่โจทก์ก็ได้ตั้งประเด็นไว้ในคำฟ้องด้วยว่า จำเลยยังไม่ได้ชำระราคาที่ดินให้โจทก์ ดังนั้น เมื่อวันที่27 ธันวาคม 2511 จำเลยทำหนังสือสัญญาให้นายศิริ อินทร์เมืองตัวแทนโจทก์ว่าจะชำระค่าที่ดินให้ภายในวันที่ 31 มกราคม 2512โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำสืบได้ว่าได้มีการตกลงทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งแก้ไขหนังสือสัญญาขายที่ดินเดิมในเรื่องเงินค่าที่ดินว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระให้และจะชำระกันอย่างไร การนำสืบดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยทำสัญญาให้นายศิริ อินทร์เมืองตัวแทนโจทก์ไว้เป็นหลักฐานตามสัญญาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2511ว่ายังไม่ได้ชำระค่าที่ดินนั้น จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาให้นายศิริ อินทร์เมือง ไว้จริง เป็นแต่ต่อสู้ว่า จำเลยเป็นคู่สัญญากับนายศิริ อินทร์เมือง โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาเมื่อนายศิริ อินทร์เมือง ถึงแก่กรรมไปแล้ว สัญญานี้ถือว่าสิ้นสุด ที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยชำระเงินค่าที่ดินให้นายศิริ อินทร์เมืองตัวแทนโจทก์ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2511 ที่หอทะเบียนกลาง ต่อหน้านายวิชัยวิทยากูล หัวหน้าแผนกที่ดินกลาง กรมที่ดิน จึงขัดต่อเหตุผลและเอกสารดังกล่าว เพราะถ้าชำระเงินแล้วจริงเหตุไรภายหลังต่อมาจำเลยจึงได้ทำสัญญาลงวันที่ 27 ธันวาคม 2511 ให้นายศิริ อินทร์เมืองไว้เป็นหลักฐานว่าจำเลยไม่ได้ชำระเงินค่าที่ดิน นอกจากนั้นนายวิชัยวิทยากูล พยานซึ่งโจทก์จำเลยอ้างร่วมกันเบิกความว่า ตามระเบียบพนักงานที่ดินต้องถามเรื่องการชำระราคาทุกครั้ง ถ้าไม่มีการชำระราคากันทางการจะไม่จดทะเบียนให้ เฉพาะการจดทะเบียนรายพิพาทนี้ คู่สัญญาได้แจ้งให้พยานทราบว่าจะทำใบรับเงินติดเรื่องราวไว้ แต่ความจริงยังไม่ได้ชำระราคากัน โดยจะตกลงเรื่องราคาและชำระกันเองทีหลัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระค่าที่ดินให้โจทก์ และคดีไม่มีประเด็นว่าสัญญาฉบับนี้เกิดขึ้นโดยเจตนาลวงหรือไม่ดังจำเลยฎีกา เพราะจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้มาแต่ศาลชั้นต้น
เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าที่ดินให้โจทก์ภายในวันที่ 31 มกราคม2512 ก็ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องทั้งหมดคืนให้โจทก์ตามสัญญาหมาย จ.1 ข้อ 3, 4. จะอ้างว่าโจทก์ไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยและเมื่อนายศิริ อินทร์เมือง ถึงแก่กรรมสัญญานี้เป็นอันสิ้นสุดนั้นไม่ได้ เพราะนายศิริ อินทร์เมือง ทำสัญญาหมาย จ.1 ก็ในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ตามใบมอบอำนาจหมาย ล.1 นั่นเอง และสัญญาเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลใช้บังคับกันได้ ไม่ตกเป็นโมฆะ
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 12,000 บาทแก่โจทก์