คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13078/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2549 โจทก์ในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 นำเงินสินสมรสไปซื้อที่ดินและทาวน์เฮ้าส์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 ภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบเหตุการณ์ทำนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ว่า ฟ้องโจทก์มิใช่การฟ้องเพื่อเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮ้าส์ แต่เป็นการฟ้องเพื่อเรียกสินสมรสคืนจากจำเลยที่ 2 และการที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนถอนเงินในบัญชีซึ่งเป็นสินสมรสและมอบให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คืนเงินแก่โจทก์ เป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น จะพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คืนเงินหาได้ไม่ โจทก์ต้องไปว่ากล่าวต่างหากแล้วโจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 คืนเงินจำนวน 1,512,400 บาท จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องต่อเนื่องจากคำพิพากษาในคดีเดิม แม้คำพิพากษาคดีดังกล่าวจะไม่มีถ้อยคำว่า “โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่” อายุความคดีนี้จึงตกอยู่ในบังคับ ป.พ.พ. มาตรา 193/17 วรรคสอง หาใช่ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480 วรรคสอง ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีนี้พิพากษาไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องภายใน 60 วัน นับแต่คำพิพากษาคดีก่อนถึงที่สุด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินสินสมรสจำนวน 1,512,400 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 538,792 บาท และชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวของต้นเงิน 1,512,400 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 ไม่ชำระให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 283495 ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 195/191 หมู่ที่ 2 ตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้ยึดอายัดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 นำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์และได้นำเงินสินสมรสตามฟ้องไปซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 283495 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีชื่อจำเลยที่ 2 ปรากฏเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยในเวลานั้นจำเลยที่ 1 ถูกทำของด้วยไสยศาสตร์ ปัจจุบันจำเลยที่ 1 หายเป็นปกติดีแล้ว
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเห็นสมควรให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เห็นสมควรให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2549 โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 283495 พร้อมด้วยทาวน์เฮ้าส์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่าโจทก์ทราบเหตุดังกล่าวเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่จำเลยที่ 1 โอนเงินสินสมรส 1,512,500 บาท แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้อง โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ต่อมาวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีนี้
ปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ในฐานะภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 นำเงินสินสมรสไปซื้อที่ดินและทาวน์เฮ้าส์พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2549 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่โจทก์ทราบเหตุการณ์ทำนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในคดีแรกพิพากษาว่า ฟ้องโจทก์มิใช่การฟ้องเพื่อเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮ้าส์พิพาทแต่เป็นกรณีโจทก์ฟ้องเพื่อเรียกสินสมรสคืนจากจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2552 เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 คืนเงินจำนวน 1,512,400 บาท จึงเป็นการใช้สิทธิฟ้องต่อเนื่องจากคำพิพากษาในคดีเดิม แม้คดีดังกล่าวจะไม่มีถ้อยคำว่า “โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่” อายุความคดีนี้จึงตกอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคสอง หาใช่ต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง ไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องภายใน 60 วัน นับแต่คำพิพากษาคดีก่อนถึงที่สุด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
เมื่อคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และคดีนี้ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่า เงินพิพาทจำนวน 1,512,400 บาท เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นำมาซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 283495 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 ตามฟ้อง เมื่อโจทก์อุทธรณ์และฎีกาคำพิพากษาคดีนี้ จำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งว่า เงินจำนวน 1,512,400 บาท มิใช่สินสมรสของโจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นแต่โต้แย้งว่า การฟ้องคดีนี้เป็นการเพิกถอนนิติกรรมการให้โดยเสน่หา และคดีขาดอายุความแล้วเท่านั้น เมื่อรับฟังว่าฟ้องโจทก์อยู่ในอายุความแล้ว และการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการจงใจทำนิติกรรมไปโดยลำพังและปราศจากความยินยอมของโจทก์ซึ่งเป็นภริยา เพื่อนำเงินที่เป็นสินสมรสไปซื้อบ้านและที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 รู้ข้อเท็จจริงดีว่าจำเลยที่ 1 มีโจทก์เป็นภริยาแล้ว จึงเป็นการร่วมกันกระทำการโดยไม่สุจริต ทั้งเป็นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินฝากดังกล่าวซึ่งเป็นสินสมรสมีสิทธิที่จะติดตามเอาทรัพย์สินของตนคืนจากบุคคลที่ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ได้ ดังนั้นจำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่ร่วมกันคืนเงินจำนวน 1,512,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันฟ้องจำนวน 538,792 บาท แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะนำเงินสินสมรสมาคืนแก่โจทก์ ส่วนคำขอของโจทก์ที่ระบุว่าหากคืนสินสมรสและดอกเบี้ยแก่โจทก์ไม่ได้ ขอให้มีคำสั่งให้นำที่ดินอันเกิดจากการนำเงินสินสมรสไปซื้อตามโฉนดเลขที่ 283495 ออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินที่ได้กลับมาเป็นสินสมรสของโจทก์ต่อไปนั้นเป็นวิธีการบังคับคดีหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาซึ่งไม่อาจมีคำพิพากษาบังคับในขณะนี้ได้ จึงยกคำขอของโจทก์ในส่วนดังกล่าว
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,512,400 บาท คืนแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินคืนแก่โจทก์เสร็จสิ้น ทั้งนี้คำนวณดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2548 จนถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 538,792 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share