แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ไม่มีเหตุที่จะเบิกความเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยที่1เชื่อได้ว่าเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริงที่จำเลยที่1ต่อสู้คดีว่าจำเลยที่1ถูกจับที่บ้าน พ. และไม่ทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำเฮโรอีนของกลางมาจากไหนนั้นง่ายแก่การกล่าวอ้างจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างคำเบิกความพยานโจทก์ได้ ขณะจับกุมจำเลยที่1ได้ร่วมนั่งอยู่กับจำเลยที่2และที่3ในรถยนต์เก๋งที่มีเฮโรอีนของกลางซุกซ่อนอยู่แสดงให้เห็นได้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2และที่3มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ทั้ง สาม กับพวก อีก 1 คน ซึ่ง หลบหนี ยัง ไม่ได้ตัว มา ฟ้อง ได้ ร่วมกัน กระทำ ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายกรรม ต่างกันกล่าว คือ จำเลย ทั้ง สาม กับพวก ร่วมกัน มี เฮโรอีน อันเป็น ยาเสพติดให้โทษใน ประเภท 1 จำนวน 50 หลอด น้ำหนัก 59.500 กรัม และ กัญชา อันเป็นยาเสพติดให้โทษ ใน ประเภท 5 จำนวน 8 แท่ง น้ำหนัก 8 กิโลกรัมไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย โดย มิได้ รับ อนุญาต ขอให้ ลงโทษ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 26, 66,76, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และ ริบของกลาง
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สาม มี ความผิด ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15 วรรคสอง ,26 (ที่ ถูก 26 วรรคหนึ่ง ), 66 วรรคหนึ่ง , 76 วรรคสอง , 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครองเพื่อ จำหน่าย จำคุก คน ละ 10 ปี ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่ายจำคุก คน ละ 5 ปี รวม จำคุก คน ละ 15 ปี
จำเลย ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ริบ ของกลาง ด้วยนอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง รับฟัง ได้ใน เบื้องต้น ว่า ตาม วัน เวลา และ สถานที่เกิดเหตุ ตาม ฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจ จับ จำเลย ทั้ง สาม ได้ พร้อม เฮโรอีน จำนวน 50 หลอด น้ำหนัก59.500 กรัม กัญชา จำนวน 8 แท่ง น้ำหนัก 8 กิโลกรัม มี ปัญหา วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ 1 ว่า จำเลย ที่ 1 ร่วม กระทำผิด ฐาน มี เฮโรอีนไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย หรือไม่ โจทก์ นำสืบ สิบตำรวจโท สมพงษ์ นุ่มนิ่ม ร้อยตำรวจเอก สุทิน สิทธิโชติพงศ์ ได้ความ ว่า วันเกิดเหตุ เวลา ประมาณ 15 นาฬิกา มี สาย ลับ มา แจ้ง ว่า มี ผู้ชาย 3 คนผู้หญิง 1 คน ใช้ รถยนต์ เก๋ง หมายเลข ทะเบียน 2ง-3329 กรุงเทพมหานครเป็น ยานพาหนะ ร่วมกัน จำหน่าย เฮโรอีน อยู่ ที่ บริเวณ สวน มะพร้าวหมู่ ที่ 3 ตำบล บ้านใต้ ร้อยตำรวจเอก สุทิน จึง รายงาน ให้ พันตำรวจโท สรวิช ผดุงชัย สารวัตร ใหญ่ สถานีตำรวจภูธร อำเภอ เกาะพะงัน ทราบ แล้ว วางแผน จับกุม โดย พันตำรวจโท สรวิช ร้อยตำรวจเอก สุทิน และ สิบตำรวจโท สมพงษ์ กับพวก รวม ประมาณ 10 คน ได้ เดินทาง โดย รถยนต์กระบะ ไป ที่ สวน มะพร้าว ดังกล่าว พบ รถยนต์ เก๋งตาม ที่ สาย ลับ แจ้ง จึง จอดรถ แล้ว เจ้าพนักงาน ตำรวจ วิ่ง ไป ที่ รถยนต์ เก๋งดังกล่าว มี ชาย คนหนึ่ง ยืน อยู่ ข้าง รถ ได้ วิ่ง หลบหนี ไป เจ้าพนักงานตำรวจ ส่วน หนึ่ง วิ่ง ติดตาม จับ แต่ ไม่ ทัน ร้อยตำรวจเอก สุทิน และ สิบตำรวจโท สมพงษ์ กับพวก อีก ส่วน หนึ่ง วิ่ง ไป ที่ รถยนต์ เก๋ง พบ จำเลย ทั้ง สาม นั่ง อยู่ ใน รถ โดย จำเลย ที่ 1 นั่ง อยู่ ที่นั่ง ด้านหลัง รถได้ ตรวจค้น พบ กัญชา 8 แท่ง เฮโรอีน จำนวน 50 หลอด ซุกซ่อน อยู่ ใต้ เบาะและ หลัง เบาะ ที่นั่ง คนขับ และ บริเวณ หลัง เบาะ ที่นั่ง ด้านหลัง จึงจับ จำเลย ทั้ง สาม และ ยึด กัญชา กับ เฮโรอีน เป็น ของกลาง เห็นว่า พยานโจทก์ทั้ง สอง เป็น เจ้าพนักงาน ที่ ปฏิบัติการ ไป ตาม หน้าที่ ไม่มี เหตุ ที่ จะเบิกความ เพื่อ กลั่นแกล้ง จำเลย ที่ 1 เชื่อ ได้ว่า เบิกความ ไป ตาม ที่รู้เห็น จริง ที่ จำเลย ที่ 1 นำสืบ ต่อสู้ คดี ว่า จำเลย ที่ 1 ถูกจับที่ บ้าน นาย พยง และ จำเลย ที่ 1 ไม่ทราบ ว่า เจ้าพนักงาน ตำรวจ นำ เฮโรอีน ของกลาง มาจาก ไหน นั้น ง่าย แก่ การ กล่าวอ้าง จึง ไม่มี น้ำหนักพอ ที่ จะ รับฟัง หักล้าง คำเบิกความ ของ สิบตำรวจโท สมพงษ์ และ ร้อยตำรวจเอก สุทิน ได้ ข้อเท็จจริง จึง ฟังได้ ตาม คำเบิกความ ของ สิบตำรวจโท สมพงษ์และร้อยตำรวจเอกสุทิน ที่ ว่า ขณะ จับกุม จำเลย ที่ 1ได้ ร่วม นั่ง อยู่ กับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ใน รถยนต์ เก๋ง ที่ มี เฮโรอีนของกลาง ซุกซ่อน อยู่ เช่นนี้ แสดง ให้ เห็น ได้ โดย แจ้งชัด ว่า จำเลย ที่ 1ร่วม กับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 มี เฮโรอีน ของกลาง ไว้ ใน ครอบครองเพื่อ จำหน่าย จำเลย ที่ 1 จึง เป็น ตัวการ ร่วมกัน กระทำผิด ตาม ที่โจทก์ ฟ้อง ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษา ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ที่ 1ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน