คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันฉ้อโกงและหมิ่นประมาทโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 90, 91, 326, 328, 341, 342(2)

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง

จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 5, 6 และ 7

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบยังไม่พอฟังลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 และ 4 ฐานฉ้อโกง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเข้าสืบว่า โจทก์มีปัญญาอ่อนหรือมีความอ่อนแอแห่งจิต ส่วนข้อที่โจทก์สืบว่า จำเลยที่ 1, 2, 3, 4 คบคิดกันวางแผนเพื่อฉ้อโกงโจทก์มาแต่แรกยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้ ฉะนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า พยานโจทก์มีเหตุผลฟังได้ว่าพวกจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงโจทก์มาแต่ต้นด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง ทำให้พวกจำเลยได้เงินของโจทก์ไป การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว และการที่ศาลล่างทั้งสองไม่เชื่อคำนายเพ่ง นางสังวาลย์และนายจรูญพยานโจทก์ เป็นการคลาดเคลื่อนและขัดเหตุผลนั้น จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์ที่ไม่เชื่อคำพยานโจทก์นั่นเอง โจทก์จึงฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share