แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมิได้กู้เงินตามสัญญากู้ฉบับดังกล่าว ศาลต้องยกฟ้องโจทก์ จะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ตามสัญญาฉบับอื่นไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2529 จำเลยกู้เงินโจทก์ไป 45,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และกำหนดชำระคืนต้นเงินในวันที่ 30 มกราคม 2530 นับแต่วันกู้จำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ย ครบกำหนดชำระต้นเงินจำเลยก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยให้ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 55,125 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้อง จำเลยเคยกู้เงินของโจทก์เมื่อเดือนเมษายน 2528 จำนวน 20,000 บาทดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน ไม่มีกำหนดเวลาใช้คืน โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความ และเมื่อต้นเดือนมกราคม 2529 จำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จสิ้นแล้วโจทก์กรอกข้อความต่อเติมข้อความในเอกสารโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงเป็นเอกสารปลอม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 มกราคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันมีว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์จำนวน 20,000 บาท ซึ่งโจทก์ก็นำสืบรับว่าการกู้เงินดังกล่าวเป็นคนละคราวกับการกู้เงินตามฟ้องโดยสัญญากู้เงินจำนวน 20,000 บาท ทำที่บ้านนายประจวบ ชุ่มชื่นมีนายพิน ค้ำชูเป็นพยาน ส่วนสัญญากู้ตามฟ้องเอกสารหมาย จ.1มีนายบุญมา เกิดชัย และนายสันต์ สาระพิษ เป็นพยาน ข้อเท็จจริงจึงเห็นได้ชัดว่า การฟ้องเรียกเงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.1 มิใช่เป็นการฟ้องตามสัญญากู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป จำนวน 20,000 บาทเมื่อฟังได้ว่าจำเลยมิได้กู้เงินโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 ศาลต้องยกฟ้องโจทก์จะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้ฉบับอื่นไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้ว”
พิพากษายืน