คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 130/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิโจทก์ กรณีก็ไม่เข้าข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1368,1369และ 1370 ว่าจำเลยครอบครองโดยสุจริตและยึดถือเพื่อตน จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก่อนบิดาตายได้แบ่งที่นาให้แก่บุตรทุกคน ส่วนของโจทก์ทั้งสามกับนางจันทร์แดงมีเนื้อที่ 33 ไร่เศษ จำเลยได้ขอเข้าทำนาในที่ดังกล่าว 26 ไร่ แล้วเอาที่ดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) รวมกับที่นาของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมก่อนบิดามารดาตายได้แบ่งที่นาออกเป็นสี่ส่วนแล้วยกให้บุตรชายสี่คนโจทก์ทั้งสามและนางจันทร์แดงซึ่งเป็นบุตรหญิงบิดามารดายกให้เฉพาะกระบือและทรัพย์อื่นที่พิพาทเป็นที่นาส่วนหนึ่งที่บิดามารดายกให้แก่จำเลย จำเลยครอบครองมาเป็นเวลาเกิน 20 ปีแล้ว โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตาย คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยสุจริตโดยยึดถือเพื่อตนได้รับข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1368, 1369 และ 1370 ว่ายึดถือเพื่อตน จึงไม่ได้อาศัยโจทก์ ในข้อนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ซึ่งศาลฎีกาก็เห็นพ้องด้วย ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท และไม่จำต้องวินิจฉัยรายละเอียดอื่น ๆ ในฎีกาของจำเลยซึ่งไม่เป็นประโยชน์ไม่อาจทำให้จำเลยชนะคดีได้อีกต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share