คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2553

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยนำเช็คที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วมาแก้ไขวันที่และลงชื่อกำกับวันที่แก้ไขไว้ไปชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่ผู้เสียหาย แม้จะเจตนาให้มีผลผูกพันเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ และเป็นการแก้ไขวันสั่งจ่ายซึ่งเป็นข้อสำคัญในเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 1007 แต่เป็นเพียงการแก้วันที่ในเช็คเพียงอย่างเดียว เช็คยังคงเป็นเช็คฉบับเดิม เมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมาครั้งหนึ่งแล้ว ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันนั้นแล้ว การที่เสียหายนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินอีกและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นครั้งที่สอง จึงไม่ได้เกิดความผิดขึ้นใหม่อีก เพราะเป็นการกระทำอันเดียวกันนั้นเอง จะเป็นความผิดสองครั้งหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2544 เวลากลางวัน จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารออมสิน สาขาสวี ลงวันที่ 15 กันยายน 2544 จำนวนเงิน 400,000 บาท มอบให้นายปราโมทย์ ผู้เสียหายเพื่อ ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาเมื่อถึงกำหนดเรียกเก็บเงินตามเช็ค ผู้เสียหายนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฎิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการ ใช้เงินตามเช็ค หรือในขณะที่ออกเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ หรือให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะออกเช็ค เหตุเกิดที่ตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) (3) จำคุก 3 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
78 คงจำคุก 2 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน2541 นายธรรมนูญ จันทร์มณีหรือแจ้งมณี สามีจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถแบ็คโฮและรถแทรกเตอร์ รวม 3 คัน ไปจากผู้เสียหายตามสำเนาสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.2 โดยจำเลยออกเช็คฉบับพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 ลงวันที่ 25 กันยายน 2541 สั่งจ่ายเงินจำนวน 400,000 บาท กับเช็คอีก 2 ฉบับ ลงวันที่ต่างกันให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระค่าเช่าซื้อดังกล่าว ต่อมานายธรรมนูญผิดสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเข้าทำสัญญาเช่าซื้อกับผู้เสียหายเพื่อใช้ประโยชน์รถทั้งสามคันตามสัญญาเช่าซื้อเดิมต่อไปโดยตกลงค่าเช่าซื้อจำนวน 850,000 บาท แบ่งชำระค่าเช่าซื้อเป็น 2 งวด ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ในการชำระค่าเช่าซื้องวดแรกได้นำเช็คพิพาทซึ่งธนาคารการปฏิเสธการจ่ายเงินมาแล้วมาแก้ไขวันที่เป็นวันที่ 15 กันยายน 2544 โดยจำเลยลงนามกำกับการแก้ไขมอบให้ผู้เสียหาย ต่อมาเมื่อถึงกำหนดใช้เงินตามวันที่แก้ไข ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเนื่องจากเงินในบัญชีไม่พอจ่ายตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.2
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยนำเช็คที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแล้วมาแก้ไขวันที่และลงชื่อกำกับวันที่แก้ไขไว้ แม้จะเจตนาให้มีผลผูกพันเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยทำสัญญากับผู้เสียหาย และเป็นการแก้ไขวันสั่งจ่ายซึ่งเป็นข้อสำคัญในเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007 ก็ตาม แต่การลงวันที่ใหม่และลงนามกำกับการแก้ไขโดยจำนวนเงินและลายมือชื่ออันเป็นรายการที่มีอยู่ในเช็คเดิม จึงเป็นเพียงการแก้วันที่ในเช็คเพียงอย่างเดียว เช็คพิพาทยังคงเป็นเช็คฉบับเดิมไม่เป็นการออกเช็คฉบับใหม่แต่อย่างใด เมื่อเช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมาครั้งหนึ่งแล้ว ความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันนั้นแล้ว การที่ผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินอีกและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นครั้งที่สอง จึงหาได้เกิดความผิดขึ้นใหม่อีกไม่ เพราะเป็นการกระทำอันเดียวกันนั้นเอง การกระทำอันเดียวกันจะเป็นความผิดสองครั้งหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีไม่ขาดอายุความจึงไม่จำต้องวินิฉัยเนื่องจากไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน

Share