แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดโดยประมาทเมื่อปรากฏว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตามที่พิจารณาได้ความเพราะข้อแตกต่างดังกล่าวมิใช่ข้อสารสำคัญ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครมีหน้าที่ควบคุมดูแลนักโทษและผู้ต้องขัง ได้ช่วยเหลือปล่อยให้นายเล่าซูหรือสว่างหรือแว่นโค แซ่ซูหรือแซ่แว่น ผู้ต้องขัง ซึ่งถูกส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลกลางหลบหนีไปจากห้องควบคุมเพื่อรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกร่วมกันปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กรมราชทัณฑ์ และเจ้าพนักงานตำรวจกรมตำรวจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๒๐๔
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ให้ลงโทษจำคุก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๔ อีกบทหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๔ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทเฉพาะ จึงไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๕๗ อันเป็นบททั่วไปอีก พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๔ วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗อีกบทหนึ่ง
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานโจทก์ที่นำสืบไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยเจตนาปล่อยนายเล่าซูหรือแว่นโค แซ่แว่นให้หลบหนีไปโดยจำเลยได้รับทรัพย์สินเป็นค่าตอบแทน หรือให้เห็นเลยว่าจำเลยได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ข้อเท็จจริงคงได้ความว่ากรมราชทัณฑ์มีระเบียบว่า ในการควบคุมดูแลผู้ต้องขังที่ถูกคุมขังอยู่ในโรงพยาบาลนอกเรือนจำนั้น ผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลจะต้องระวังสอดส่องดูแลผู้ต้องขังอย่างใกล้ชิดให้อยู่ในสายตาเพื่อมิให้หลบหนี และในตอนกลางคืนผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลจะต้องล่ามโซ่ผู้ต้องขังไว้กับเตียง แต่ในคืนเกิดเหตุในขณะปฏิบัติหน้าที่จำเลยนั่งหลับอยู่ที่ระเบียงนอกห้องคุมขังอีกด้วย อันเป็นการแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายเล่าซูหลบหนีไป ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้นายเล่าซูหลบหนีจากการคุมขังไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๕ วรรคแรก
คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดโดยประมาท จึงมีปัญหาว่าศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคสาม บัญญัติว่า ข้อแตกต่างกันระหว่างการกระทำผิดโดยเจตนากับประมาทมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสารสำคัญ เว้นแต่จะปรากฏแก่ศาลว่าการที่ฟ้องผิดไปเป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ปรากฏว่าในชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยประมาทเป็นเหตุให้นายแว่นโคหลบหนีไปจากที่คุมขัง และพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการสอบสวนจำเลยในข้อหานี้ตลอดมา ทั้งจำเลยยังให้การในชั้นสอบสวนว่า ถ้าหากจำเลยใช้ความระมัดระวังควบคุมดูแลให้ใกล้ชิด โดยยกเก้าอี้มานั่งเฝ้าที่หน้าประตูห้องตามปกติ จำเลยก็เชื่อว่านายแว่นโคไม่สามารถหลบหนีไปได้ ในชั้นพิจารณาจำเลยก็นำสืบรับว่า มีระเบียบการล่ามโซ่ผู้ต้องขังไว้กับเตียงจริง และนำสืบรับว่าจำเลยนั่งหลับในขณะปฏิบัติหน้าที่โดยอ้างว่าแสบตาเห็นได้ว่าการที่โจทก์ฟ้องผิดไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด ศาลจึงพิพากษาลงโทษจำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๕ วรรคแรก ให้ลงโทษจำคุก