คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12981/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หลังจากจำเลยทั้งหกซึ่งเป็นจำเลยอุทธรณ์ได้รับสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ และคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าภายในกำหนดเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์ จำเลยทั้งหกได้ยื่นคำร้อง คัดค้านคำร้องของโจทก์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีสาระหรือเหตุผลที่จะยังให้ศาลฎีกาวินิจฉัย แม้มิได้คัดค้านว่าอุทธรณ์ของโจทก์มิใช่เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรง แต่ก็ถือว่าจำเลยอุทธรณ์ได้คัดค้านคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของ ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ ในอันที่ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหมายเลข 3 หรือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 234 ตำบลควนพัง อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้จำเลยทั้งหกหรือผู้จัดการมรดกของนายหมุด เปลี่ยนชื่อผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 234 จากนายหมุด มาเป็นชื่อโจทก์และส่งมอบต้นฉบับแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งหกไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหกและให้เพิกถอนชื่อนายหมุด ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 234 โดยระบุชื่อโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายใดให้โจทก์สามารถฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินได้และจำเลยทั้งหกในฐานะทายาทหรือผู้จัดการมรดกไม่มีหน้าที่ต้องเปลี่ยนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นชื่อโจทก์ จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งหกแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า การยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ โดยทำเป็นคำร้องยื่นมาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ หากไม่มีคู่ความฝ่ายอื่นยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 และจำเลยอุทธรณ์มิได้คัดค้านคำร้องดังกล่าวภายในกำหนดเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์ และศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นจึงจะมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ แต่เมื่อหลังจากจำเลยทั้งหกซึ่งเป็นจำเลยอุทธรณ์ได้รับสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ และคำร้องขอยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์แล้ว ปรากฏว่าภายในกำหนดเวลายื่นคำแก้อุทธรณ์ จำเลยทั้งหกได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557 คัดค้านคำร้องของโจทก์ว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่มีสาระหรือเหตุผลที่จะยังให้ศาลฎีกาวินิจฉัย แม้มิได้คัดค้านว่าอุทธรณ์ของโจทก์มิใช่เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายโดยตรง แต่ก็ถือว่าจำเลยอุทธรณ์ได้คัดค้านคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาของโจทก์แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ในอันที่ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ได้
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยชี้ขาดต่อไป

Share