แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การไต่สวนมูลฟ้องประสงค์เพียงว่า คดีพอมีมูลตามข้อกล่าวหาในฟ้องหรือไม่ หากพอมีมูล ศาลก็ประทับฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องแก้ไขฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2500 เวลากลางวัน จำเลยได้สมคบกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่กว้างประมาณ 18 วา ยาวประมาณ 20 วา เพื่อถือการครอบครองที่ดินบางส่วน และตัดฟันต้นไม้ในที่นั้นประมาณ 10 ต้น ราคา 10 บาท ทำลายรั้วไม้ไผ่ซึ่งเป็นเขตยาวประมาณ 20 วา ราคา 40 บาท เป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์โดยปกติสุข เหตุเกิดที่ตำบลเมืองอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 363, 365 และ 358
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องวินิจฉัยว่า คดีปรากฏตามคำพยานโจทก์ว่านางบุญมา กับพวกจำเลยได้เข้าทำการตัดฟันต้นไม้และรื้อรั้วในที่ดินรายพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินเป็นของนางบุญมา จำเลย การที่พวกจำเลยเข้าทำการตัดฟันต้นไม้และรื้อรั้วในที่ดินรายพิพาท ก็โดยเข้าใจว่ามีสิทธิจะทำได้ พวกจำเลยจึงไม่มีเจตนาที่จะบุกรุกที่ดินของโจทก์เพราะที่ดินรายพิพาทยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของ ชอบที่คู่กรณีจะไปว่ากล่าวกันในทางแพ่ง คดีจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องโจทก์ ดำเนินการพิจารณาต่อไปตามฐานความผิดที่ฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาต่อมา โดยถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่า เท่าที่โจทก์นำสืบมาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น พอมีเค้ามูลว่าที่ดินรายพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยได้เข้าทำการตัดฟันต้นไม้และรื้อรั้วในที่ดินรายพิพาทตามวันเวลาที่โจทก์กล่าวหา ส่วนข้อที่จำเลยเข้าทำการดังกล่าวโดยเข้าใจว่ามีสิทธิจะทำได้นั้น โจทก์ไม่ได้รับว่าจำเลยเข้าใจเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะพิจารณาหาความจริงกันภายหลัง ในการไต่สวนมูลฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น มีความประสงค์แต่เพียงว่า คดีพอมีมูลตามข้อกล่าวหาในฟ้องหรือไม่เท่านั้น หากพอมีมูล ศาลก็ประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปได้ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้มีมูล ศาลทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ยังไม่ชอบ
จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป