แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับองค์การจำเลยว่าด้วยวินัยฯ กำหนดโทษผิดวินัยไว้เพียง 5 สถาน คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ให้ออก ปลดออก แต่ไม่รวมถึงตักเตือนด้วย การที่จำเลยมีหนังสือเตือนโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการลงโทษโจทก์ และหากโจทก์จะถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยเพราะกระทำการดังถูกตักเตือนมาแล้ว โจทก์ก็ยกเป็นข้อต่อสู้ได้ว่าการเตือนเป็นหนังสือนี้ไม่ถูกต้องได้ดังนั้น กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์นำคดีมาสู่ศาลขอให้เพิกถอนหนังสือเตือนดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้บังคับบัญชา และเป็นกรรมการในคณะกรรมการสหภาพแรงงานองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย สหภาพแรงงานฯ ได้ทราบผลสรุปของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เกี่ยวกับการสอบสวนการทุจริตในองค์การจำเลยว่า นายประมุท กระทำการทุจริต มีมูลความผิดอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ สหภาพแรงงานฯ ได้มีมติแต่งตั้งโจทก์และกรรมการอื่นให้เรียกร้องต่อคณะกรรมการบริหารของจำเลยทำการปราบปรามการทุจริตดังกล่าวอย่างจริงจัง โจทก์จึงขอลากิจเพื่อทำธุระส่วนตัว ๑ วัน และผู้บังคับบัญชาได้อนุญาตให้ลาแล้ว ในวันนั้นโจทก์และกรรมการอื่นได้ทำธุรกิจส่วนตัวโดยยืนถือป้ายเรียกร้องให้คณะกรรมการบริหารของจำเลยปราบปรามการทุจริต ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ลงโทษทางวินัยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือ อ้างว่าโจทก์ลากิจเพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัว แต่มายืนถือป้ายประท้วงเป็นการรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ปกปิดความจริง ก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชาและก่อให้เกิดความแตกแยกสามัคคีในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน เมื่อจำเลยที่ ๒ ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือเตือนโจทก์ ซึ่งเป็นการลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะการกระทำของโจทก์ไม่เป็นความผิด ขอให้จำเลยที่ ๑ ยกเลิกหนังสือที่แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ลงโทษโจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ยกเลิกหนังสือที่ลงโทษตักเตือนโจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยเพียงมีคำสั่งตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือซึ่งมิใช่โทษทางวินัยอันจะถือว่าเป็นการลงโทษตามระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลยหนังสือที่จำเลยที่ ๑ มีถึงจำเลยที่ ๒ เพื่อพิจารณาดำเนินการทางวินัยแก่โจทก์เป็นเรื่องอำนาจบริหารของนายจ้างตามปกติ โจทก์จึงไม่มีอำนาจขอให้ศาลเพิกถอนได้ ส่วนหนังสือตักเตือนโจทก์เมื่อมิใช่เป็นการลงโทษดังกล่าวแล้ว จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์ขอให้ศาลเพิกถอนได้เช่นกัน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือที่จำเลยที่ ๒ ว่ากล่าวตักเตือนโจทก์คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๒ ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ตามข้อบังคับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยว่าด้วยวินัน การสอบสวน การลงโทษฯ ข้อ ๕ กำหนดโทษผิดวินัยไว้เพียง๕ สถาน คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน ให้ออก ปลดออก ไม่รวมถึงตักเตือนด้วย จึงถือไม่ได้ว่าการที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือเตือนโจทก์เป็นการลงโทษโจทก์ หนังสือเตือนดังกล่าวจึงไม่มีผลที่จะทำให้โจทก์เสียสิทธิแต่อย่างใด และเมื่อโจทก์ถือว่าหนังสือเตือนดังกล่าวเป็นการไม่ชอบแล้ว ก็ไม่มีผลกระทบถึงเหตุที่โจทก์จะถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ ๔๗(๓)ถึงหากโจทก์จะถูกเลิกจ้างเพราะในคราวต่อไปกระทำการดังถูกตักเตือนมาแล้ว และจำเลยที่ ๑ ไม่จ่ายค่าชดเชยให้ โจทก์ก็ย่อมยกเป็นข้อต่อสู้ได้ว่าการเตือนเป็นหนังสือครั้งแรกหรือในกรณีที่พิพาทกันนี้เป็นการไม่ถูกต้องได้ ฉะนั้น เพียงแต่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือเตือนโจทก์ในกรณีนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิอันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาสู่ศาลขอให้เพิกถอนหนังสือเตือนดังกล่าวได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนหนังสือเตือนของจำเลยที่ ๒ ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง