แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงว่าตัวอย่างลายเซ็นชื่อโจทก์ไม่เพียงพอและเขียนคนละแบบกับเอกสารพิพาท ขอส่งเอกสารคืนคู่ความแถลงว่าเมื่อผู้เชี่ยวชาญไม่อาจพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ได้ ก็ขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์แทน เมื่อมีข้อตกลงกันเช่นนี้แล้ว โจทก์จะย้อนไปยกเอาคำชี้แจงของผู้เชี่ยวชาญมากล่าวอ้างอีกหาได้ไม่
การที่คู่ความตกลงกันให้ศาลพิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์ แล้วพิพากษาไปตามคำชี้ขาดนั้น หาใช่เป็นการที่ศาลกระทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการไม่ หากแต่เป็นกรณีที่ศาลได้ทำหน้าที่ชี้ขาดข้อเท็จจริงตามที่คู่ความท้ากันไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายอย่างใด โจทก์จะกลับมาขอให้มีการสืบพยานอีกหาได้ไม่
เมื่อคู่ความตกลงกันใหม่ให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์แล้วพิพากษาไปตามคำชี้ขาดนั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าโจทก์ยอมให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดีตามผลการชี้ขาดของศาล โดยโจทก์ไม่ต้องดำเนินการในทางถอนฟ้องตามที่ตกลงท้ากันไว้ในครั้งแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กู้เงินจำเลยแล้วมอบที่นามือเปล่าให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย จำเลยกับพวกได้ร่วมกันปลอมเอกสารสัญญาซื้อขาย และหนังสือมอบอำนาจว่าโจทก์ขายนาแปลงดังกล่าวให้จำเลย โดยโจทก์ไม่เคยขายและไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายและใบมอบอำนาจ ต่อมาจำเลยได้นำเอกสารปลอมทั้งสองฉบับไปแสดงต่อปลัดอำเภอทำการแทนนายอำเภอทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ขอให้ชำระหนี้เงินกู้และขอที่นาคืนจำเลยไม่ยอม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 268 บังคับให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้แล้วส่งมอบที่นาคืนให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ไม่ได้ทำนา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าคดีของโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ได้กู้เงิน โจทก์ขายนาแปลงพิพาทให้นายอินต่อมานายอินขายให้จำเลย แล้วจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา ต่อมาโจทก์ไปพบจำเลยว่าจะเอานาคืน ถ้าไม่ได้นาคืนก็ต้องให้เงินโจทก์อีก โจทก์จะโอนนาให้ ต่อรองราคากันแล้วจำเลยให้เงินโจทก์ไป ได้ทำสัญญาซื้อขายและใบมอบอำนาจกัน โดยโจทก์เซ็นชื่อในเอกสารด้วยตนเอง จำเลยนำเอกสารไปแสดงด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งลายเซ็นชื่อโจทก์ในสัญญาซื้อขายและหนังสือมอบอำนาจกับคำขอมีบัตรประชาชนของโจทก์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกรมตำรวจพิสูจน์ ถ้าพิสูจน์ว่าลายเซ็นในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวใช่หรือน่าจะใช่ลายเซ็นของโจทก์ โจทก์ยอมถอนฟ้อง ถ้าไม่ใช่หรือไม่คล้าย ไม่เหมือนลายเซ็นของโจทก์แล้วจำเลยยอมแพ้คดี ต่อมาหัวหน้ากองพิสูจน์หลักฐานแจ้งมาว่า ตัวอย่างลายเซ็นของโจทก์ไม่เพียงพอและเขียนคนละแบบกับเอกสารพิพาท คู่ความแถลงรับต่อศาลชั้นต้นว่าเมื่อผู้เชี่ยวชาญไม่อาจพิสูจน์ลายมือของโจทก์ในสัญญาซื้อขายและหนังสือมอบอำนาจได้ คู่ความตกลงกันขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์ในเอกสาร แล้วพิพากษาไปตามคำชี้ขาดของศาล โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีส่วนอาญานั้นหน้าที่นำสืบตกอยู่กับฝ่ายโจทก์เมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยาน จึงไม่มีทางลงโทษจำเลยได้ ส่วนในทางแพ่งเมื่อเปรียบเทียบเคียงลายมือชื่อโจทก์ในสัญญาซื้อขายและในหนังสือมอบอำนาจกับคำขอมีบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว เห็นว่าน่าจะเป็นลายมือชื่อของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาในประการแรกว่าผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่าลายมือชื่อตัวอย่างมีน้อย และเขียนแตกต่างคนละแบบกับเอกสารพิพาทย่อมมีผลเท่ากับว่าลายมือชื่อในเอกสารพิพาทเป็นคนละแบบแตกต่างไม่คล้ายไม่เหมือนกับลายมือชื่อโจทก์ ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีนั้น เห็นว่าเมื่อหัวหน้ากองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจแจ้งมาว่าผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจเอกสารต่าง ๆ แล้ว ชี้แจงว่าตัวอย่างลายเซ็นชื่อของโจทก์ไม่เพียงพอ และเขียนคนละแบบกับเอกสารพิพาทจึงขอส่งเอกสารคืน ศาลชั้นต้นได้สั่งนัดพร้อมและในวันนัดพร้อมนั้นคู่ความแถลงว่า เมื่อผู้เชี่ยวชาญไม่อาจพิสูจน์ลายมือชื่อของโจทก์ อ้างว่าลายเซ็นโจทก์ไม่เพียงพอและเขียนคนละแบบ คู่ความจึงตกลงกันขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์ในเอกสารที่ตกลงท้ากันไว้เดิม เมื่อคู่ความได้แถลงต่อศาลเช่นนี้ ก็เท่ากับยอมรับกันแล้วว่าผู้เชี่ยวชาญไม่อาจพิสูจน์ลายมือของโจทก์ได้ ไม่ใช่กรณีผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์แล้วลงความเห็นคู่ความจึงตกลงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติตามคำท้าเสียใหม่ โดยขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์แทนผู้เชี่ยวชาญ เมื่อมีข้อตกลงกันใหม่เช่นนี้ โจทก์จะยกไปย้อนเอาคำชี้แจงของผู้เชี่ยวชาญมากล่าวอ้างอีกหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า เมื่อผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ลายมือชื่อโจทก์ไม่ได้ ศาลชอบที่จะให้คู่ความสืบพยาน การที่คู่ความตั้งให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์เอกสารแทนผู้เชี่ยวชาญเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการมอบอำนาจให้ศาลเป็นอนุญาโตตุลาการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้นเห็นว่าโจทก์ได้แถลงรับกับจำเลยขอให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์โดยไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อโจทก์ตกลงไว้เช่นนั้นแล้วโจทก์จะกลับมาฎีกาขอให้ศาลสั่งให้มีการสืบพยานอีกหาได้ไม่ และการที่คู่ความขอให้ศาลพิสูจน์ชี้ขาดลายเซ็นโจทก์ ก็หาใช่เป็นการที่ศาลจะกระทำหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการไม่ หากเป็นกรณีที่ศาลได้ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดข้อเท็จจริงตามที่คู่ความตกลงท้ากัน และไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายอย่างใด ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของโจทก์ในประการสุดท้ายที่ว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 สิงหาคม 2518 โจทก์ตกลงไว้ว่าจะถอนฟ้อง ศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไม่ได้นั้น เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาที่โจทก์อ้างนั้นได้มีการตกลงกันใหม่ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 27 เมษายน 2519 ว่า ให้ศาลเป็นผู้พิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์แล้ว พิพากษาไปตามคำชี้ขาดของศาล ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่า เมื่อศาลพิสูจน์และชี้ขาดลายเซ็นของโจทก์แล้ว โจทก์ยอมให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดีตามผลการชี้ขาดของศาล โดยโจทก์ไม่ต้องดำเนินการในทางถอนฟ้องอีก และเมื่อศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าลายมือชื่อในเอกสารพิพาทน่าจะเป็นลายมือชื่อของโจทก์ตรงตามที่โจทก์จำเลยท้ากันไว้แล้ว ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไปตามคำท้าที่โจทก์ตกลงกับจำเลยในครั้งหลังฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน