คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำหนังสือสัญญาให้จำเลยเช่าโรงสี 3 ปี กำหนดค่าเช่าไว้เดือนละ 3,000 บาท จำเลยอ้างว่าโจทก์จำเลยตกลงกันไว้ว่า ชั้นแรกคิดค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท แต่ต่อไปโจทก์จะยกให้เป็นเดือนละ 2,000 บาท และ 1,000 บาท ตามลำดับ แล้วจำเลยนำสืบใบรับเงินค่าเช่าอันแสดงว่าในระยะหลัง ๆ นี้โจทก์เก็บค่าเช่าเพียงเดือนละ 2,000 บาท และ 1,000 บาท ดังนี้ เป็นเรื่องจำเลยนำสืบว่าคู่สัญญาตกลงทำสัญญากันใหม่เป็นหนังสือแก้ไขหนังสือสัญญาเช่าเดิม เฉพาะเรื่องอัตราค่าเช่าอย่างเดียว จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบอธิบายถึงที่มาของใบรับเงินนี้ได้

ย่อยาว

สำนวนแรก นายสินเป็นโจทก์ฟ้องว่า นายเลี้ยงจำเลยทำสัญญาเช่าโรงสีของโจทก์ ๓ ปี นับแต่ ๑ กรกฎาคม ๒๔๙๙ ค่าเช่ารายเดือน ๆ ละ ๓,๐๐๐ บาท หากเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดโดยโจทก์มิได้ผิดสัญญา จำเลยก็ต้องชำระค่าเช่าจนครบ ๒ ปี ฯลฯ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ตลอดมา และไม่ต่อสัญญาประกันอัคคีภัย โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งมอบโรงสีคืนเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๐๒ ฯลฯ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเช่า ๕ เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือน มิถุนายน ๒๕๐๒ ซึ่งเป็นเดือนครบกำหนดเช่า ๓ ปี เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่าในสัญญาเช่าที่ว่า ค่าเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาทนั้น ความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันว่า ชั้นแรกเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยปรับปรุงโรงสีให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น โจทก์จะลดค่าเช่าเป็นเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท และถ้าปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นก็จะลดค่าเช่าเป็นเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดไปดังนั้น โจทก์เก็บค่าเช่าเดือนกรกฎาคท ๒๔๙๙ ถึงเดือน มกราคม ๒๕๐๐ เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ ถึงเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เดือนมีนาคม ๒๕๐๑ ถึงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๐๑ เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ตามสำเนาใบรับเงินท้ายคำให้การ ฯลฯ และจำเลยยังฟ้องแย้งขอให้บังคับให้โจกท์ใช้เงินที่จำเลยได้เปลี่ยนแปลงต่อเติมโรงสีครึ่งหนึ่งตามสัญญาด้วย
ส่วนคดีหลัง นายเลี้ยงกลับเป็นโจทก์ฟ้องนายผินว่า ระหว่างโจทก์เช่าโรงสี ของจำเลย ๆ ไม่มีใบอนุญาตโรงงานอุตสาหกรรม เจ้าพนักงานสั่งมิให้โจทก์ทำการสีข้าวเป็นเวลา ๔ เดือน ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยใช้
นายสินให้การปฏิเสธ
ในการพิจารณาคดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลเรียกนายสินว่าโจทก์ นายเลี้ยงว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยสัญญาโดยไม่ชำระค่าเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ เป็นต้นมา จำเลยจึงต้องชำระค่าเช่าจนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๐๒ ซึ่งครบกำหนดเช่า ๓ ปี รวม ๕ เดือน ๑๕,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์ กับให้โจทก์จำเลยใช้เงินแก่กันในรายการอื่น ๆ อีกด้วย
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ในเรื่องค่าเช่า ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ในประเด็นเรื่องค่าเช่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนังสือสัญญาเช่าโรงสีได้กำหนดค่าเช่าไว้ว่า เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ถ้าเพียงเท่านี้จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่ายังมีข้อตกลงกันเพิ่มเติมจากที่ปรากฎในหนังสือสัญญาไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ (ข) แต่เรื่องนี้จำเลย มีใบรับเงินค่าเช่าของโจทก์มาแสดงว่า ค่าเช่าเดือนกรกฎาคม ๒๔๙๙ ถึงเดือน มกราคม ๒๕๐๐ อัตราค่าเช่าเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๐ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๑ เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท เดือนมีนาคม ถึงเดือน พฤศจิกายน ๒๕๐๑ เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ก็รับว่าเป็นใบรับเงินค่าเช่าของโจทก์จริง จึงไม่ใช่เรื่องจำเลยนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขหนังสือสัญญาเช่า หากเป็นเรื่องคู่สัญญาตกลงทำสัญญากันใหม่เป็นหนังสือแก้ไขหนังสือสัญญาเช่าเดิม เฉพาะเรื่องอัตราค่าเช่าอย่างเดียวเท่านั้น แม้ใบรับนี้จำเลยจะไม่ได้ลงนาม แต่กฎหมายบังคับเพียงให้ผู้จะต้องรับผิดในสัญญาเป็นผู้ลงนามเท่านั้นก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้น จำเลยจึงนำพยานบุคคลมาสืบอธิบายถึงที่มาของใบรับเงินนี้ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยนำสืบ เป็นอันว่าตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๐๑ เป็นต้นมา โจทก์จำเลยได้ตกลงกำหนดค่าเช่ากันใหม่เป็นลายลักษณ์อักษรเหลือเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท
ในที่สุดพิพากษาแก้ ๓ รายการ เฉพาะรายการค่าเช่านี้ให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๐๒ ถึงวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๐๒ เป็นเงิน ๒,๔๐๐ บาท

Share