แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานเก็บเงินค่านาเรียกจำเลยไปสอบถามถึงเรื่องโฉนดที่นาที่ค้างค่านาเพื่อจะขายทองตลาดจำเลยแจ้งต่อเจ้าพนักงานนั้นด้วยความเท็จไม่เป็นผิดฐานแจ้งความเท็จ
ศาลชั้นต้นสั่งให้ยกฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องไม่มีมูลทางอาญาศาลอุทธรณ์พิพากษาให้รับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปโดยเห็นว่าการกระทำตามฟ้องเป็นผิดทางอาญาได้เช่นนี้จำเลยฎีกาได้,(ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา)
(หมายเหตุ อัยยการเป็นผู้ฟ้อง จำเลยถูกเรียกเข้ามาในคดีแล้ว.)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยค้างอากรค่านาถูกเจ้าพนักงานเรียกตัวสอบถามถึงโฉนดที่นารายที่ค้างภาษีนั้นเพื่อทำการขายทอดตลาด จำเลยได้สาบาลตัวแล้วเอาความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จมาบอกแก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับแจ้งความและเร่งรัดค่าภาษีอากรว่า โฉนดนั้นอยุ่ที่พี่ภริยาจำเลยความจริงโฉนดนั้นภริยาจำเลยนำเอาไปวางเป็นประกันเงินกู้ผู้มีชื่อไว้ เจ้าพนักงานได้ขอใบแทนโฉนดใหม่ ทำให้โฉนดเดิมใช้ไม่ได้ เป็นการเสียหายแก่เจ้าพนักงานและผู้มีชื่อนั้น ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา ม.๑๑๘.
ศาลชั้นต้นเห็นว่าตามฟ้องไม่มีมูลทางอาญาสั่งให้ยกฟ้อง.
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามฟ้องเป็นผิดตาม ม.๑๑๘ ได้ จึงพิพากษาให้รับฟ้องไว้พิจารณา.
จำเลยฎีกา.
ศาลฎีกาเห็นว่าตาม พ.ร.บ.ลักษณะเก็บเงินค่านา ร.ศ. ๑๑๙ เจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่บังคับแก่ทรัพย์ของผู้ค้างอากรค่านาที่จะยึดและขายเท่านั้น การเรียกจำเลยผู้เป็นลูกหนี้และเป็นผู้จะต้องเสียหาย ไปถามเอาความเท็จจริงในเรื่องทรัพย์สมบัตินั้น หาเป็นอำนาจสอบสวนในกรอบอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานพึงจะยึดถือเอาเป็นคำแจ้งความได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีผิดฐานแจ้งความเท็จตาม ม.๑๑๘ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์