คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากด้านขวาและคอด้านข้างแถบขวาชัดเจน ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วันหาย จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย
พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 339 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสาม, 340 ตรี ริบกุญแจรถจักรยานยนต์และหมวกนิรภัยของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 จำคุก 15 ปี ริบกุญแจรถจักรยานยนต์และหมวกนิรภัยของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ขณะที่ผู้เสียหายกับนางสาววรรณวิภากำลังเดินบนทางเท้าริมถนนกรุงเกษมหน้าวัดนรนาถเพื่อจะไปลงเรือข้ามฟากที่ท่าเรือเทเวศน์ ได้มีคนร้ายกระชากเอาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองคำไปจากคอของผู้เสียหาย คนร้ายวิ่งหนีข้ามถนนไปขึ้นรถจักรยานยนต์ซึ่งมีนางสาวปาริชาติพวกของคนร้ายนั่งคร่อมจอดรออยู่ที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายวิ่งไล่ตามไปทันคนร้ายที่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวแล้วดึงกุญแจรถจักรยานยนต์ออกมาถือไว้และทวงเอาทรัพย์คืน คนร้ายยอมคืนให้เฉพาะสร้อยคอทองคำ แต่ไม่ยอมคืนพระเลี่ยมทองคำให้ คนร้ายสั่งให้นางสาวปาริชาติทำร้ายผู้เสียหายนางสาวปาริชาติใช้หมวกนิรภัยตีถูกที่หน้าผากผู้เสียหาย ผู้เสียหายต่อสู้กับนางสาวปาริชาติ คนร้ายถือโอกาสขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป…
ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากและคออันเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ ซึ่งปรากฏตามรายงานความเห็นการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเพียงเป็นบาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าผากด้านขวาและคอด้านข้างแถบขวาชัดเจน ใช้เวลารักษาประมาณ 3 วันหาย จึงยังถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยคงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 เท่านั้น และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกที่เพียงขับรถจักรยานยนต์ไปจอดรอจำเลยชิงทรัพย์ผู้เสียหายบริเวณริมถนนฝั่งตรงข้ามกับที่เกิดเหตุ เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น เมื่อรถจักรยานยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำความผิดอันพึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) แล้ว จึงไม่อาจริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลางได้เช่นกัน ปัญหาดังกล่าวทั้งหมดเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 ไม่ริบกุญแจรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share