แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่าได้ออกเช็คให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการที่จำเลยกู้เงินโจทก์มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ ดังนี้ แม้จำเลยจะนำสืบฟังได้ตามข้อต่อสู้ จำเลยก็หาพ้นความรับผิดไม่ เพราะการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ และสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์ไว้เป็นประกัน ย่อมเป็นการออกเช็คโดยมีมูลหนี้มาจากการกู้เงินและมีเจตนาที่จะผูกพันบังคับชำระหนี้กันได้ตามกฎหมาย เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ลงวันที่อันเป็นการกำหนดเวลาไว้แน่นอนแล้วว่า ให้ผู้ทรงเช็คนำไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าไม่ให้นำเช็คไปขึ้นเงินนั้น จึงขัดกับข้อความในเช็คทั้งจำเลยมิได้ต่อสู้ว่าหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งได้ออกเช็คไว้เป็นประกันนั้น ได้ระงับไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนแต่อย่างใด จำเลยผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904,989 กรณี หาใช่เป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ คดีไม่มีประเด็นที่คู่ความจะต้องสืบพยานกันอีกต่อไป ศาลชอบที่จะมีคำสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 60,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นเท่ากับปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ตามเช็ค พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็ครายพิพาท ซึ่งจำเลยได้ลงชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ออกเช็คให้โจทก์ถือไว้เป็นประกันในการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป มิใช่ออกให้เพื่อชำระหนี้ ปัญหาวินิจฉัยจึงมีว่า จำเลยมีสิทธินำสืบพยานตามประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การของจำเลยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยที่ว่า ออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้มิใช่เพื่อชำระหนี้นั้น แม้จำเลยจะนำสืบฟังได้ตามข้อต่อสู้ จำเลยก็หาพ้นความรับผิดไม่ เพราะการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไปและสั่งจ่ายเช็ครายพิพาทให้โจทก์ไว้เป็นประกันดังที่จำเลยต่อสู้นั้น ย่อมเป็นการออกเช็คโดยมีมูลหนี้มาจากการกู้เงินและมีเจตนาที่จะผูกพันบังคับชำระหนี้กันได้ตามกฎหมาย เช็ครายพิพาทเป็นเช็คลงวันที่9 เมษายน 2526 อันเป็นการกำหนดเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าให้ผู้ทรงเช็คนำไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินได้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2526 เป็นต้นไป ที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าไม่ให้นำเช็คไปขึ้นเงินนั้น จึงขัดกับข้อความในเช็คทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้ว่าหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งได้ออกเช็คไว้เป็นประกันนั้น ได้ระงับไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วนแต่อย่างใดคดีจึงไม่มีประเด็นที่คู่ความจะต้องสืบพยานกันอีกต่อไปฉะนั้น เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปขึ้นเงิน แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914, 989 กรณีหาใช่เป็นเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสามศาลเป็นเงิน 2,500 บาท