แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยท้ากันว่า ถ้าพยานคนหนึ่งเบิกความว่าทางพิพาทมีมาเกิน 10 ปี จำเลยยอมแพ้ถ้าไม่มีทางพิพาทมาก่อนโจทก์ยอมแพ้คำสั่งไม่อนุญาตให้ยกเลิกคำท้าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาพยานเบิกความว่ามีทางมา 20 ปี จำเลยต้องแพ้ข้อที่ว่าจำเลยครอบครองมากว่า 10 ปีไม่มีประเด็นในคำท้า แต่เป็นที่ดิน ส.ค.1 โอนทางทะเบียนไม่ได้ศาลไม่พิพากษาให้จดทะเบียนภารจำยอม
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่ดินของจำเลยตกเป็นภารจำยอมให้ไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ ให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางทางเดินจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกว่า คำร้องของจำเลยลงวันที่ 3 มิถุนายน 2520 ที่ขอให้ยกเลิกคำท้านั้นถือว่าเป็นการคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ก่อนแล้ว ถึงแม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาในวันที่ 6 มิถุนายน 2520 จำเลยก็ไม่จำเป็นต้องคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ยกเลิกคำท้าตามคำร้องของจำเลยแล้ว จำเลยชอบที่จะต้องโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี เมื่อจำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ก็จะยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 จำเลยจะถือว่าคำร้องของจำเลยที่ขอให้ยกเลิกคำท้านั้นเป็นการคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ก่อนแล้ว หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อต่อไปว่า แม้นางเขียนพยานร่วมจะเบิกความว่าทางพิพาทมีคนเดินผ่าน ก็ไม่แน่นอนว่าจะเดินผ่านมาเกิน 10 ปีหรือไม่ และนางเขียนก็ยอมรับว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนางพริกเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงหมดสภาพไปแล้วโดยครอบครองของจำเลยเกินกว่า 10 ปี ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าตามประเด็นที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันคือ ถ้านางเขียน ขอพึ่ง เบิกความว่าทางพิพาทมีมานานเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยยอมแพ้ ถ้าเบิกความว่าไม่มีทางพิพาทมาก่อน โจทก์ยอมแพ้ ปรากฏว่านางเขียน ขอพึ่ง เบิกความว่าเมื่อประมาณ 20 ปีมานี้ มีทางผ่านจากวัดม่วงคันมาที่นาโจทก์ โดยผ่านที่ของนางใคร่ (ปัจจุบันเป็นที่ของนายเส็ง) ต่อลงมาที่ของนายเอียด แล้วผ่านมายังที่ของนางพริก ขณะนี้เป็นของนายธูปจำเลยผ่านที่จำเลยก็เข้าไปยังที่นาโจทก์ เลยจากที่โจทก์ล่องไปทางใต้เป็นทางเดินวัวควาย เกวียนก็ใช้ผ่านไปมา พยานเดินทางสายพิพาทนี้อยู่ประมาณ 20 ปี ตามคำเบิกความของนางเขียน ขอพึ่ง พยานร่วมฟังได้ว่ามีทางพิพาทผ่านที่ของจำเลยซึ่งเดิมเป็นของนางพริกมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ตรงตามคำท้าที่ว่าทางพิพาทมีมานานเกินกว่า 10 ปีแล้วจำเลยจึงต้องแพ้คดี ที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทฟังไม่แน่นอนว่าจะมีคนเดินผ่านมาเกิน 10 ปีนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทหมดสภาพไปแล้ว โดยการครอบครองของจำเลยเกินกว่า 10 ปีนั้น ไม่ใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยตกลงท้ากัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินของจำเลยเป็นที่ดินมือเปล่าไม่ปรากฏว่าเป็นที่ดินที่ได้รับคำรับรองจากนายอำเภอว่าได้ทำประโยชน์แล้ว จึงเป็นที่ดินที่โอนกันไม่ได้ในทางทะเบียน โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินของจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอให้แก่โจทก์ในทางทะเบียนดังคำขอได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอบังคับของโจทก์ที่ให้จำเลยไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอโพธิ์ทองว่าเป็นทางภารจำยอมนั้นเสีย นอกจากที่แก้นี้คงให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นทุกประการ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ”