คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129-134/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่เป็นกรรมเดียวแต่ละเมิดกฏหมายหลายบทนั้น เมื่อลงโทษตามบทหนักแล้ว ก็ย่อมลงโทษตามบทเขาอีกไม่ได้

ย่อยาว

ได้ความว่าจำเลยมียศเป็นจ่านายสิบตำรวจได้สอบถามพวกเจ้าทุกข์คดีนี้เรื่องขายกระบือโดยไม่โอนตั๋วพิมพ์รูปพรรณว่าเป็นผิดต้องถูกปรับคนละ ๑๒ บาท พวกเจ้าทุกข์เชื่อว่าจำเลยมีอำนาจปรับได้จึงให้เงินแก่จำเลยไป ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตผิดตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๖ และการกระทำของจำเลยเป็นการใช้อุบายเอาความเท็์จมาหลอกลวงพวกเจ้าทุกข์ว่าตนมีอำนาจปรับได้จนเจ้าทุกข์หลงเชื่อมอบเงินให้ไป จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๐๔ อีกกะทงหนึ่ง จำเลยได้กระทำความผิดนี้ต่างกรรมต่างวาระต่างตัวเจ้าทุกข์กัน จึงลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๓๖ จำคุก ๖ เดือนรวม ๖ สำนวนเป็น ๓ ปี และตามมาตรา ๓๐๔ สำนวนละ ๓ เดือน รวม ๖ สำนวนเป็น ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยยังไม่ควรมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย เพราะตามคำผู้เสียหายบางปากว่าที่ยอมให้เงินจำเลยก็เพราะความกลัวและไม่ต้องการจะไปสถานีตำรวจ มิใช่โดยหลงเชื่อคำจำเลย จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๑๓๖ กะทงเดียวตามอัตราโทษเดิม นอกจากที่แก้คงยืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยก็ดี ก็เป็นความผิดละเมิดกฏหมายหลายบทในกรรมอันเดียวกันนั้นเอง ซึ่งมาตรา ๗๐ บัญญัติให้ใช้บทกฏหมายที่มีอาชญาหนักลงโทษ ฉะนั้นที่ให้ลงโทษจำเลยแต่ตามมาตรา ๑๓๖ บทเดียวจึงชอบแล้วพิพากษายืน

Share