คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12862/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในความผิดฐานฉ้อโกง คำเบิกความของ ท. ซึ่งเป็นพยานโจทก์ปากหนึ่งที่เบิกความว่า จำเลยมีพฤติการณ์พูดและกระทำการหลอกลวง ท. ทั้งในเรื่องการติดต่อซื้อที่ดินและการล่อลวงพา ท. ไปเล่นการพนันกับพวกของจำเลย กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยหลอกลวง ท. โดยตรงมิใช่พยานหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิดของจำเลย คำเบิกความของ ท. จึงเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นของจำเลย ต้องห้ามมิให้รับฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 210, 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 250,000 บาท และคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง กับให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 546/2545 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก, 341 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นซ่องโจร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันฉ้อโกง จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน จำนวน 250,000 บาท และคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำ จำนวน 50,000 บาท แก่ผู้เสียหายทั้งสอง ให้นับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3458/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายทั้งสองถูกคนร้ายหลายคนร่วมกันหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินของผู้เสียหายทั้งสอง โดยนัดกันให้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินที่สำนักงานที่ดินในอำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วคนร้ายหลอกลวงให้ผู้เสียหายทั้งสองร่วมเล่นการพนัน เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองสูญเสียทรัพย์สินไปรวมเป็นเงิน 300,000 บาท มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานเป็นซ่องโจร โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมปรึกษาวางแผนการสมคบกันเพื่อฉ้อโกงทรัพย์ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร ส่วนความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง เห็นว่า ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้าน จำเลยเพียงแต่แนะนำว่านายธวัชเป็นนายหน้าต้องการซื้อที่ดินในจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างที่ผู้เสียหายที่ 1 พูดคุยกับนายธวัชเรื่องซื้อขายที่ดิน จำเลยมิได้ร่วมวงสนทนาด้วย โดยจำเลยยืนอยู่ห่างๆ หลังจากนั้นจำเลยก็มิได้รู้เห็นและเกี่ยวข้องกับการนัดโอนที่ดินแต่อย่างใด เห็นได้ว่าจำเลยมิได้พูดหลอกลวงให้ผู้เสียหายที่ 1 ขายที่ดินให้แก่นายธวัชกับพวก ผู้เสียหายที่ 1 พบกับจำเลยเพียงครั้งเดียวในวันดังกล่าว ในวันที่ผู้เสียหายทั้งสองร่วมเล่นการพนันกับนายธวัชกับพวก จำเลยก็มิได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ชั้นสอบสวนผู้เสียหายที่ 1 ให้การต่อพนักงานสอบสวน มีข้อเท็จจริงในสาระสำคัญตรงกับคำเบิกความในชั้นพิจารณา ส่วนที่โจทก์ส่งคำให้การในชั้นสอบสวนของนางสาววาสนาเป็นพยานเนื่องจากนางสาววาสนาเสียชีวิตก่อนที่จะมาเบิกความเป็นพยานโดยนางสาววาสนาให้การว่า จำเลยกับพวกเป็นผู้ติดต่อจองห้องคาราโอเกะที่ร้านของนางสาววาสนาซึ่งเป็นห้องที่ผู้เสียหายทั้งสองร่วมเล่นการพนันกับนายธวัชกับพวก เห็นว่า นางสาววาสนาให้การครั้งแรก คนร้ายทั้งหมดมี 4 คน แต่นางสาววาสนามิได้ให้การว่าจำเลยเป็นคนร้ายด้วย นางสาววาสนาเพิ่งมาให้การเพิ่มเติมโดยระบุรูปพรรณของจำเลยและชี้ตัวจำเลยว่าเป็นผู้จองห้องที่ใช้เล่นการพนันอันเป็นเวลาหลังจากจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมแล้ว และเป็นเวลาหลังจากให้การครั้งแรกถึง 6 เดือนเศษ นอกจากนี้นางสาววาสนาให้การสับสนในเรื่องคนร้ายที่จองห้องโดยให้การครั้งแรกทำนองว่า หลังจากจองห้องแล้ว ชายทั้งสองคนที่มาติดต่อจองห้องได้กลับเข้ามาในร้านอีก แต่ให้การเพิ่มเติมว่า หลังจากจำเลยกับพวกติดต่อจองห้องแล้ว จำเลยก็ไม่ได้เข้ามาในร้านอีก กรณีมีเหตุเคลือบแคลงสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้จองห้องตามที่นางสาววาสนาให้การหรือไม่ ส่วนที่นางทองม้วน พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยร่วมกับนายธวัชหลอกลวงนางทองม้วนเป็นเหตุให้นางทองม้วนสูญเสียทรัพย์สินเช่นเดียวกับผู้เสียหายทั้งสอง เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เป็นคนละส่วนกันจึงมิใช่เป็นหลักฐานยืนยันว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ด้วย และเมื่อตามคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยเพียงแต่มาซื้อกะทิและพริกแกงที่ร้านของผู้เสียหายที่ 1 พร้อมกับนายธวัช และแนะนำว่านายธวัชเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินเท่านั้น แต่ตามคำเบิกความของนางทองม้วน จำเลยมีพฤติการณ์พูดและกระทำการหลอกลวงนางทองม้วนโดยตรงทั้งในเรื่องการติดต่อซื้อที่ดินของนางทองม้วนและการล่อลวงพานางทองม้วนไปเล่นการพนันกับพวกของจำเลย กรณีจึงมิใช่พยานหลักฐานที่แสดงถึงลักษณะ วิธี หรือรูปแบบเฉพาะในการกระทำความผิดของจำเลย คำเบิกความของนางทองม้วนจึงเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดครั้งอื่นของจำเลย ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/2 ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share