คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อผู้ร้องชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อจนผู้ให้เช่าซื้อยกกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องแล้ว แม้จะยังไม่ได้โอนทะเบียน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ก็เป็นของผู้ร้องโดยการแสดงเจตนาของผู้ให้เช่าซื้อ เพราะทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ของรถยนต์แต่เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นเพื่อความสะดวกแก่การควบคุมรถยนต์เท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 และสั่งริบรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน80-9979 นครปฐมของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ศาลสั่งริบและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ของศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว สั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่ารถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องหรือไม่ โจทก์มีนายนิวัฒน์ มีทรัพย์อนันต์ เบิกความว่าผู้ร้องเช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวจากบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ตามเอกสารหมาย ร.3 ผู้ร้องชำระราคาครบถ้วนแล้วตามเอกสารหมาย ค.4 จนผู้ให้เช่าซื้อตกลงโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ของกลางให้ผู้ร้องแล้วโดยทำหลักฐานการขอโอนและรับโอนตามแบบของกรมการขนส่งทางบกพร้อมใบมอบอำนาจมอบแก่ผู้ร้องไปจัดการโอนเอาเองได้ ตามเอกสารหมาย ร.5 ฝ่ายโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่าผู้ร้องเช่าซื้อรถยนต์ของกลางและชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาจนผู้ให้เช่าซื้อยกกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางให้เป็นของผู้ร้องแล้ว แม้จะยังมิได้จัดโอนทางทะเบียน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางก็เปลี่ยนมือไปเป็นของผู้ร้องได้จากการแสดงเจตนาโอนของเจ้าของเดิม เพราะทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ของรถยนต์นั้น แต่เป็นเพียงหลักฐานที่กำหนดขึ้นด้วยระเบียบพิธีการเพื่อสะดวกแก่การควบคุมรถยนต์เท่านั้นปัญหาต่อไปมีว่าขณะเกิดเหตุคดีนี้ผู้ร้องยังเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางอยู่หรือไม่ ผู้ร้องมีนายนิวัฒน์ ยืนยันว่าระหว่างเช่าซื้อรถยนต์ของกลางจากบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ผู้ร้องได้นำรถยนต์ดังกล่าวให้นายพิชัย บุญถนอม เช่าช่วง โดยความยินยอมของบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ตามเอกสารหมาย ร.8 และ ร.6 ตามลำดับสัญญาเช่าซื้อระหว่างผู้ร้องกับนายพิชัยครบชำระค่างวดวันที่ 28กุมภาพันธ์ 2527 ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 10 เดือน โดยนายพิชัยค้างชำระค่างวดอยู่ 10 กว่างวด ผู้ร้องติดตามทวงถามไม่พบ จึงยังมิได้ยึดรถคืนหรือดำเนินคดีกับนายพิชัย ฝ่ายโจทก์มิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น คงนำสืบร้อยตำรวจเอกเดชาผล ลาภกิจ พนักงานสอบสวนปากเดียวว่า ทราบจากการสอบสวนจำเลยว่า รถยนต์ของกลางเป็นของเสี่ยอุย ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า มีน้ำหนักไม่พอฟังหักล้างพยานผู้ร้องพยานหลักฐานของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักและเหตุผลฟังได้ว่า รถยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้อง และข้อเท็จจริงรับกันตลอดมาด้วยว่า ผู้ร้องมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ผู้ร้องจึงชอบที่จะได้รับรถยนต์ของกลางคืนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share