คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีก ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี และรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรค 2 ประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึง บุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม่แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ จะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรค 2 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อรถยนต์มีเครื่องกว้าน ฯลฯ ที่ใช้ไม่ได้ ที่มีอยู่ในโรงเลื่อยจักรและโรงน้ำตาลของโจทก์ เป็นราคา ๓๑๐,๐๐๐ บาท ชำระในวันทำสัญญาแล้ว ๑๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจำเลยจะจ่ายให้เป็น ๒ งวด ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่รถยนต์ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ได้ถูกตำรวจจับและยึดไว้ จำเลยจึงค้างชำระราคา ๑๗๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยรวม ๒๑๑,๐๖๐.๕๐ บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ทางพิจารณาได้ความว่าบริษัทโจทก์จ้างให้นายถนอมศักดิ์เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับการประนอมหนี้ของบริษัทโจทก์ และมอบอำนาจให้จัดการขายทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ด้วย นายสิบเจ๋าทราบว่าบริษัทโจทก์จะขายรถยนต์และอุปกรณ์พร้อมทั้งเศษเหล็กและถังน้ำมันจึงได้ไปดู แต่นายสิบเจ๋าไม่มีเงินพอที่จะซื้อ จึงได้ไปเข้าหุ้นกับจำเลยนี้ และได้ไปติดต่อกับนายถนอมศักดิ์ทำสัญญาซื้อขายกัน โดยนายถนอมศักดิ์แทนบริษัทโจทก์ และจำเลยเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายตามสัญญาหมาย ล.๑ เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้วนายถนอมศักดิ์ให้นายสิบเจ๋าถือสัญญาไปรับของที่โรงเลื่อย นายสิบเจ๋าได้ขอร้องให้นายประยูรกรรมการของบริษัทโจทก์คนหนึ่งนำของไปส่งให้ที่ปั๊มน้ำมันของนายปลอด ต่อมาอีก ๔-๕ วัน นายประยูรจึงให้คนนำรถไปส่งที่ปั๊มน้ำมันนายปลอด ๔ คัน และรุ่งขึ้นอีก ๔ คัน โจทก์ถูกห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลรัตนยนต์โดยนายกิ้มฮวดหุ้นส่วนผู้จัดการฟ้องล้มละลายเมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๐๕ และในวันนั้นเอง ศาลได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์โจทก์ชั่วคราว นายกิ้มฮวดได้พบนายสิบเจ๋าและบอกแก่นายสิบเจ๋าว่ารถยนต์ที่นายสิบเจ๋าซื้อไว้นั้นเป็นของบริษัทโจทก์ เขาเป็นเจ้าหนี้บริษัทโจทก์อยู่ เงินที่ยังไม่ได้ชำระนั้นให้ชำระแก่เขา แต่นายสิบเจ๋าไม่ยอม จำเลยก็บอกว่าให้รีบเอารถยนต์ ๘ คันที่รับไว้นั้นไปขายเอาเงินทุนเสียก่อน นายสิบเจ๋าจึงได้จัดการขายรถทั้ง ๘ คันนั้นไปโดยไม่ต้องมีการโอนทะเบียนกัน ต่อมานายประยูรให้คนนำรถไปส่งให้จำเลยที่ปั๊มน้ำมันนายปลอดอีก ๕ คัน และสาลี่ ๖ อัน ก็มีเจ้าพนักงานศาลจังหวัดระยองมาทำการยึดทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษทรัพย์ได้มีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์และให้จำเลยนำเงินที่ยังค้างชำระไปชำระ แต่จำเลยเห็นว่าทรัพย์ที่ถูกยึดไว้นั้นได้กลายสภาพเป็นเศษเหล็ก มีราคาไม่คุ้มกับเงินที่จำเลยจะต้องชำระ จำเลยจึงไม่ยอมรับเอาทรัพย์ที่ถูกยึดนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.๑ นั้น เป็นการซื้อเหมา และจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอนไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับแต่อย่างใดอีก ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันนี้ ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อทำสัญญาซื้อขายกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๘ แล้ว ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ได้มีการรับมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันแล้ว และเห็นว่าการที่ทรัพย์นั้นถูกยึดและเกิดเสียหายขึ้นในระหว่างการยึดทรัพย์ โดยผู้รับรักษาทรัพย์ปล่อยให้ตากแดงฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี ทำให้อุปกรณ์บางอย่างสูญหายไป และรถก็กลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้น อยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของโจทก์ไม่ได้ โจทก์ไม่จำต้องรับผิดต่อจำเลยแต่อย่างใด
ตามสัญญาหมาย ล.๑ ข้อ ๔ โจทก์จะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อนจึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะมีการตกลงกันไว้เช่นนั้นก็จริง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อจำเลยทราบว่าบริษัทโจทก์เป็นหนี้นายกิ้มฮวด กลัวนายกิ้มฮวดจะยึดเอารถไป จำเลยจึงได้จัดการขายรถยนต์ ๘ คัน ที่นายประยูรนำมาส่งให้ผู้อื่นไปอย่างรถไม่มีทะเบียนแล้ว ส่วนรถที่เหลือนั้น บัดนี้ก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถที่จะทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงเห็นได้ว่าในขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการโอนทะเบียนต่อไปแล้ว และไม่ใช่ความผิดของโจทก์ ฉะนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่โจทก์
ส่วนเรื่องอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ วรรค ๒ ซึ่งบัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องที่ระบุไว้ในวรรค ๑ อนุมาตรา ๑, ๒ และ ๕ นั้น อย่างใดไม่เข้าอยู่ในบังคับอายุความสองปี ท่านให้มีกำหนดอายุความห้าปี ตามบทบัญญัติดังกล่าวประกอบด้วยอนุมาตรา (๑) เห็นว่า เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้า ศาลฎีกาเห็นว่า พ่อค้าตามความหมายแห่งมาตรา ๑๖๕ นี้ หมายถึงบุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ คดีนี้โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม้แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้า และไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายทรัพย์พิพาทให้แก่จำเลยต้องถือว่า โจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา หาใช่ขายในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ ไม่ ฉะนั้น จะนำเอาอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ วรรค ๒ มาใช้บังคับไม่ได้ กรณีนี้ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ ซึ่งมีกำหนด ๑๐ ปี มาใช้บังคับ คดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ ๑๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๐๖ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

Share