แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(16) ที่ว่า ‘สิทธิเรียกร้องของบุคคลผู้เป็นคู่ความเรียกเอาเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าให้แก่ทนายความของตน มีกำหนดอายุความสองปี’ นั้น มิได้หมายความเฉพาะคู่ความและทนายความในคดีที่ฟ้องร้องกันในศาลแล้วเท่านั้นแต่หมายความรวมถึงคู่ความและทนายความที่มอบและรับเงินกันในฐานะคู่ความและทนายความก่อนฟ้องคดีในศาลด้วย
สิทธิเรียกร้องเงินที่คู่ความได้จ่ายให้ทนายความล่วงหน้าคืน จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเลิกสัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม การที่ทนายความมิได้จัดการฟ้องลูกหนี้ตามหน้าที่เป็นเวลา 3 ปีเศษ ยังไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าได้มีการเลิกสัญญากันแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2503 ได้มอบให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความฟ้องลูกหนี้จำเลยเรียกเงินค่าธรรมเนียมรวมทั้งค่าจ้างไว้2,700 บาท แล้วไม่จัดการฟ้องลูกหนี้ให้ตามหน้าที่เป็นเวลา 3 ปีเศษเดือนเมษายน 2507 โจทก์จ้างทนายอื่นฟ้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินค่าธรรมเนียมและค่าจ้างที่เรียกไว้ กับให้ใช้ค่าจ้างและค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียให้ทนายใหม่อีก 3,000 บาทด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงจะให้ค่าจ้างเหมา 5,000 บาทแต่ชำระเพียง 2,700 บาท แล้วไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญา ธันวาคม 2504โจทก์รับหลักฐานคืนไป ฯลฯ และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความส่วนเงิน 3,000 บาท ก็ไม่ใช่ค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(16)มิได้หมายความเฉพาะคู่ความและทนายความในคดีที่ฟ้องร้องกันในศาลแล้วเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงคู่ความและทนายความที่มอบและรับเงินกันในฐานะคู่ความและทนายความก่อนฟ้องคดีในศาลด้วยแต่คดีนี้ยังไม่ได้ความชัดพอที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ2 ปี ดังกล่าวแล้ว เพราะยังไม่ได้ความแน่ชัดว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงิน 2,700 บาท ที่จ่ายล่วงหน้าแก่จำเลยคืนนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด การที่โจทก์มอบเงิน 2,700 บาทแก่จำเลย และจำเลยรับจะว่าความให้โจทก์นั้น หาได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะเรียกเงิน 2,700 บาทคืนจากจำเลยในทันใดที่ได้มอบเงินแก่จำเลยไม่ แต่จะมีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้คืนก็ต่อเมื่อมีการเลิกสัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม และโจทก์เรียกเงินคืนในฐานะคู่ความกับทนายความ ที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยประวิงมิได้จัดการฟ้องลูกหนี้ตามหน้าที่เป็นเวลา 3 ปีเศษนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าได้มีการเลิกสัญญากันแล้ว เพราะโจทก์ยังกล่าวในฟ้องต่อไปว่า โจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยกว่า 10 ครั้ง จำเลยก็แจ้งว่าได้ฟ้องแล้ว แสดงว่าโจทก์จำเลยยังถือว่ามีสัญญาผูกพันกันอยู่มิได้เลิกสัญญากัน จนจำเลยได้นัดไปรับเงินคืนเมื่อกรกฎาคม 2507 ก่อนโจทก์ฟ้องไม่ถึง 2 ปี ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์รับหลักฐานคืนไปเมื่อธันวาคม 2504 นั้น โจทก์ก็มิได้รับตามที่จำเลยอ้างนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาฟังพยานหลักฐานต่อไป
พิพากษายืน