คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1277/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องว่าจำเลยเอาสร้อยคอ ซึ่งเป็นของปลอมไปขายโดยจำเลยมีเจตนทุจริตหลอกลวงให้เขาเชื่อในสภาพแห่งสร้อยอันเป็นความเท็จ อันเป็นเหตุให้เขาหลงเชื่อและได้ตกลงซื้อสร้อย ดังนี้ ยังไม่เป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 310 เพราะโจทก์มิได้กล่าวว่าจำเลยหลอกลวงประการใดจะด้วยกิริยา ด้วยวาจา หรือด้วยประการใด และหลอกลวงอย่างไรมิได้กล่าวในฟ้อง จึงต้องพิพากษายกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๒ กับพวกอีกคนหนึ่งบังอาจสมคบกันนำเอาสร้อยคอและสร้อยข้อมือสีเหมือนทองคำอย่างละหนึ่งเส้น ซึ่งเป็นของปลอมมิได้ทำด้วยทองคำแท้ มาขายฝากให้นายพัว ณ มหาไชย โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้นายพัวหลงเชื่อในสภาพแห่งสร้อยว่าเป็นทองคำแท้ อันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นเหตุให้นายพัวหลงเชื่อ และได้ตกลงซื้อในราคา ๘๐๐ บาท ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๓๑๐ จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยผิดฐานพยายาทเท่านั้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กล่าวในฟ้องแต่ว่า ” โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้นายพัวหลงเชื่อในสภาพแห่งสร้อยอันเป็นเท็จ อันเป็นเหตุให้นายพัวหลงเชื่อ และได้ตกลงซื้อสร้อย ” โจทก์หาได้กล่าวว่าจำเลยได้หลอกลวงนายพัวประการใดไม่ จะเป็นหลอกลวงด้วยกิริยา หรือวาจา หรือด้วยประการใดและหลอกลวงอย่างไร ก็ชอบที่จะว่ามา เพราะแม้จำเลยจะมีเจตนาทุจริตประการใด แต่ถ้าจำเลยเอาสร้อยไปขายนายพัวเฉย ๆ โดยมิได้แสดงอาการหลอกลวงอย่างใด หากแต่นายพัว ซึ่งเป็นผู้ซื้อฝาก และมีหน้าที่ต้องตรวจตราของเข้าใจไปเองแล้ว ก็จะเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้
จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

Share