แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ยื่นคำร้องขอระบุพะยานในวันนัดไต่สวนพะยานนั้นเองดังนี้ไม่ต้องด้วยประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.88 ศาลสั่งไม่ยอมให้สืบพะยานนั้นได้ยอมเข้าค้ำประกันหนี้ที่จำเลยจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาในศาลแล้ว ศาลได้พิพากษาให้เป็นไปตามยอมนั้นแล้ว  จะมาทำการแปลงหนี้ใหม่กันเองนอกศาลก็ย่อมทำได้  และเมื่อเวลาแปลงหนี้ใหม่ดังนั้นแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะมาร้องขอให้ศาลบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้นต่อไปอีกไม่ได้
ผู้ค้ำประกันทำหนังสือกู้ให้เจ้าหนี ๆ รับหนังสือกู้นั้นและยังได้รับดอกเบี้ยด้วยถือว่าตกลงแปลงหนี้ใหม่ต่อกัน
ฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบไม่ได้นำพะยานมาสืบ  ถ้าปรากฎจากพะยานของอีกฝ่ายหนึ่ง  ศาลก็รับฟังมาเป็นประโยชน์แก่คดีของฝ่ายที่นำสืบได้
ย่อยาว
โจทก์ยึดทรัพย์จำเลยผู้แพ้คดีโจทก์ผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์  ครั้งถึงวันนัดไต่สวนคำร้อง  ผู้ร้องกลับทำยอมรับเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา  โดยมีเงื่อนไขว่าจะจัดให้จำเลยชำระให้แก่โจทก์ภายในกำหนด  ศาลได้พิพากษาให้เป็นไปตามยอมนั้นแล้ว
ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้  โจทก์ได้ขอให้ศาลบังคับยึดทรัพย์เอาแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายประกันและศาลได้สั่งให้ยึดไว้แล้ว  ผู้ร้องคัดค้านว่าไม่ควรยึดทรัพย์ผู้ร้องเพราะจำเลยยังมีทรัพย์ที่โจทก์จะยึดได้และอ้างว่า  หนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษานั้น  ผู้ร้องได้ทำสัญญากู้เงินให้โจทก์จนโจทก์เก็บดอกเบี้ยตามสัญญากู้ไปแล้ว  นับว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่  จะมาบังคับตามสัญญายอมอีกไม่ได้  ศาลได้นัดวันไต่สวนและโจทก์รับจะเป็นผู้นำพะยานสืบก่อน  ครั้นถึงวันนัดไต่สวน  ผู้ร้องจึงได้ยื่นคำร้องขอระบุพะยานศาลชั้นต้นสั่งว่าคำขอ(ระบุพะยาน) ไม่ชอบด้วยประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง ม.๙๕  จึงไม่อนุญาต  คงไต่สวนไปแต่พะยานโจทก์ฝ่ายเดียว  แล้วสั่งให้ยกคำร้องโจทก์เสีย.
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า   ศาลชั้นต้นสั่งไม่ยอมให้ผู้ร้องอ้างพะยานได้นั้นชอบแล้ว  ที่ผู้ร้องอ้างว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่นั้น  จะได้แปลงหนี้กันจริงหรือไม่ตกเป็นหน้าที่ผู้ร้องต้องนำสืบ  เมื่อผู้ร้องไม่ได้อ้างพะยานให้ถูกต้องจนศาลสั่งไม่อนุญาตแล้วก็เท่ากับว่าผู้ร้องไม่มีพะยานในข้อนี้ ข้อที่อ้างจึงตกไป จึงพิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า  ผู้ร้องไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลวิธีพิจารณาแพ่ง  ม.๘๘  ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้สืบพะยานผู้ร้องนั้นชอบแล้วส่วนประเด็นในข้อแปลงหนี้ใหม่  จริงอยู่ที่ประเด็นตกหน้าที่ผู้ร้องจะต้องนำพะยานเข้าสืบก่อน  แต่เมื่อโจทก์กับผู้ร้องตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้นำพะยานสืบก่อนแล้ว  และตัวโจทก์เองเบิกความว่าผู้ร้องทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้จริงตามจำนวนที่จำเลยยังใช้ไม่หมด  และโจทก์ก็ได้รับดอกเบี้ยตามสัญญากู้จากผู้ร้องไปบ้างแล้ว  ดังนี้เห็นว่าคำเบิกความของพะยานโจทก์ย่อมรับฟังเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายผู้ร้องได้  ฟังได้ว่าโจทก์ยอมตกลงให้ผู้ร้องสืบพะยานหรือผู้ร้องจะไม่สืบพะยานเองก็ตาม  ก็ไม่เป็นเหตุที่จะรับฟังคำรับของโจทก์ดังกล่าวนั้น  ฉะนั้นหนี้ที่จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลแพ่งและพาณิชย์  ม.๓๔๙  จึงพิพากษากลับให้ยกคำร้องโจทก์ที่ขอบังคับยึดทรัพย์ของผู้ร้องตามสัญญาค้ำประกันนั้นเสีย

