คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12747/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) บัญญัติให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว อันหมายความว่า แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ก็ตาม โจทก์ก็ยังมีภาระการพิสูจน์เกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวให้มีน้ำหนักรับฟังได้ ในกรณีเช่นนี้จึงหาใช่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเช่นใด ศาลต้องเชื่อต้องรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์เช่นว่านั้นเสมอไปไม่
ค่าเสียหายดังกล่าว ตามทางนำสืบของโจทก์เป็นเพียงการแสดงวิธีการ หลักเกณฑ์ และสร้างแบบจำลองในการประเมินหาความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม อันเป็นไปตามหลักวิชาการที่โจทก์อ้างและยอมรับเพียงฝ่ายเดียว หาใช่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (1) (2) และ (3) ไม่ จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลจะถือเอาเป็นข้อยุติในการคิดหาค่าเสียหายคดีนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวก็เป็นเพียงการแสดงถึงกระบวนการคิดการประเมินค่าเสียหายของโจทก์ให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นเท่านั้น มีผลเท่ากับโจทก์เองก็ยืนยันและพิสูจน์ถึงมูลค่าความเสียหายที่ถูกต้องแน่นอนไม่ได้อีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าโจทก์นำสืบเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายไม่ได้ตามคำฟ้องและใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรเช่นว่านั้น จึงชอบด้วยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 377,467.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 255,379 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 10 มกราคม 2549 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีสิ่งแวดล้อมพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่าโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า ค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาเกี่ยวกับการกำหนดจำนวนเงินในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) บัญญัติให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว อันหมายความว่า แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ก็ตาม โจทก์ก็ยังมีภาระการพิสูจน์เกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวให้มีน้ำหนักรับฟังได้ ในกรณีเช่นนี้จึงหาใช่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานเช่นใด ศาลต้องเชื่อต้องรับฟังตามพยานหลักฐานของโจทก์เช่นว่านั้นเสมอไปไม่ คดีนี้โจทก์นำสืบพยานบุคคล คือนายคม เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส เพียงปากเดียวและอ้างส่งเอกสารซึ่งเป็นการคิดคำนวณค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมบางประการหลังการทำลายพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งมีนายพิศิษฎ์ศักย์ เจ้าพนักงานป่าไม้อาวุโส เป็นผู้คิดคำนวณค่าเสียหาย ประกอบคู่มือการใช้แบบจำลองสำหรับประเมินค่าเสียหายทางสิ่งแวดล้อมบางประการหลังการทำลายป่าไม้ของกลุ่มวิจัย ต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โดยเบิกความว่า โจทก์คิดค่าเสียหายเป็นไปตามหลักเกณฑ์การประเมินทางวิชาการของกรมป่าไม้ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าค่าเสียหายตามทางนำสืบของโจทก์เป็นเพียงการแสดงวิธีการ หลักเกณฑ์ และสร้างแบบจำลองในการประเมินหาความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม อันเป็นไปตามหลักวิชาการที่โจทก์อ้างและยอมรับเพียงฝ่ายเดียว หาใช่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 (1) (2) และ (3) ไม่ จึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลจะถือเอาเป็นข้อยุติในการคิดหาค่าเสียหายคดีนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวก็เป็นเพียงการแสดงถึงกระบวนการคิดการประเมินค่าเสียหายของโจทก์ให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นเท่านั้น มีผลเท่ากับโจทก์เองก็ยืนยันและพิสูจน์ถึงมูลค่าความเสียหายที่ถูกต้องแน่นอนไม่ได้อีกด้วย ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าโจทก์นำสืบเกี่ยวกับมูลค่าความเสียหายไม่ได้ตามคำฟ้องและใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรเช่นว่านั้น จึงชอบด้วยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share