คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2955/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อปรากฏว่าในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระบุราคาซื้อขายไว้ชัดแจ้งว่า เป็นเงิน 240,000 บาท และมิได้กำหนดเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอน ค่าภาษีเงินได้และค่าอากรรับเงินแต่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าราคาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเงิน 600,000 บาท และมีข้อตกลงดังกล่าวหาได้ไม่เพราะเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาจะซื้อขาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 และไม่ใช่เป็นกรณีที่นำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา240,000 บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำแล้ว 100,000 บาท ตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันภายในเดือนมิถุนายน 2529 ต่อมาในวันที่30 มิถุนายน 2529 จำเลยได้นัดโอนกรรมสิทธิ์ทีดินและรับเงินส่วนที่เหลือ แต่ตกลงกันไม่ได้เนื่องจากโจทก์จะออกค่าธรรมเนียมในการโอนให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนค่าภาษีเงินได้จากการขายที่ดินนั้นจำเลยต้องออกเอง แต่จำเลยจะให้โจทก์ออกค่าภาษีเงินได้อีกครึ่งหนึ่งด้วย โจทก์ไม่ยอม จำเลยจึงไม่โอนที่ดินให้โจทก์ขอบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1166 ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลงจังหวัดระยอง ให้แก่โจทก์และรับเงินส่วนที่เหลือเป็นเงิน 140,000บาทจากโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่ง ส่วนค่าอากรรับเงินและภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้จำเลยเป็นผู้ออกทั้งหมด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยตกลงจะขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ในราคา600,000 บาท แต่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายเพียง 240,000 บาทเพื่อหลีกเลี่ยงค่าภาษีและค่าธรรมเนียมในการโอน ซึ่งตกลงกันให้โจทก์เป็นฝ่ายออกทั้งหมด แต่โจทก์กลับไม่ยอมชำระราคาที่ดินตามที่ตกลงกัน และไม่ยอมชำระค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดิน โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1166 ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง จังหวัดระยองให้แก่โจทก์และรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 140,000 บาท จากโจทก์โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่ง ส่วนค่าอากรรับเงิน ค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายให้จำเลยเป็นผู้ออกทั้งหมด หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 457 และประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)มิใช่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เงื่อนไขข้อตกลงที่ว่าโจทก์จะเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอน ค่าภาษีเงินได้และค่าอากรรับเงินแต่ผู้เดียวจึงใช้บังคับกันได้ จำเลยสามารถนำพยานบุคคลมาสืบถึงข้อตกลงดังกล่าวกับข้อตกลงที่ว่าโจทก์จำเลยได้ซื้อขายที่ดินพิพาทกันในราคา600,000 บาท เนื่องจากเป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้นเห็นว่า หากมีข้อตกลงในเรื่องการชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษีค่าอากรดังข้ออ้างของจำเลยและข้อตกลงนั้นได้ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายที่ดินแล้วย่อมบังคับกันได้ แต่เมื่อปรากฏว่าในสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระบุราคาซื้อขายไว้ชัดแจ้งว่าเป็นเงิน240,000 บาท และมิได้กำหนดเรื่องที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอน ค่าภาษีเงินได้และค่าอากรรับเงินแต่ฝ่ายเดียวเช่นนี้ จำเลยจะนำพยานบุคคลมาสืบว่า ราคาซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเงิน 600,000 บาท และมีข้อตกลงดังกล่าวหาได้ไม่เพราะเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาจะซื้อขายต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 และไม่ใช่เป็นกรณีที่นำสืบถึงความไม่สมบูรณ์ของเอกสารนั้นดังจำเลยอ้าง”
พิพากษายืน

Share