แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยนี้รวมกับจำเลยอื่น ๆ ต่อศาลภายในกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่อ้างว่าถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่ดิน แต่ศาลมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยนี้ต่างหากกับจำเลยคนอื่น ๆ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบอ้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น. และถือไม่ได้ว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนด 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายจงจินต์ จันทร์ตระกูล ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว เดิมนายจงจินต์เคยฟ้องนายจุ้ยกุ้น แซ่ตัน ให้ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๒ หมู่ที่ ๑ บ้านเกาะสิเหร่ ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และเมื่อชนะคดีแล้วนายจงจินต์และโจทก์ที่ ๑ ก็เข้าครอบครองที่ดินตามฟ้องตลอดมา ต่อมาจำเลยได้บุกรุกเข้าแย่งการครอบครองในที่ดินดังกล่าวเป็นบางส่วน และโต้แย้งการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยกับพวกอีก ๒ คน ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๑๗ ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยนี้ต่างหากเป็นคดีนี้ ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๗ โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปี นับแต่ทราบว่าถูกจำเลยแย่งการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ให้จำเลยถอนคำร้องคัดค้านเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน ๑ ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่นั้น ปรากฏว่าโจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๑๗ เพื่อเรียกคืนการครอบครองที่พิพาท โดยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองที่พิพาทเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๑๖ ตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๑๐๘/๒๕๑๗ ของศาลจังหวัดภูเก็ต คดีนั้นศาลมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้อง โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๑๘ เห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ ย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้น เพราะเหตุที่จะผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องได้ จะต้องเป็นกรณีทิ้งฟ้องหรือถอนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๖ เท่านั้น และกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้ จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้อง เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายได้สิทธิครอบครองหรือไม่นั้นศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นฝ่ายได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
พิพากษายืน