คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผลแห่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาว่าทรัพย์รายพิพาทเป็นของผู้ร้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันคู่ความผู้ร้องใช้คำพิพากษานั้นยันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นได้เมื่อโจทก์ให้การในคดีร้องขัดทรัพย์ใหม่อีกเรื่องหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป โดยจำเลยซื้อทรัพย์รายพิพาทจาก ผู้ร้องภายหลังจากศาลพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีภาระในการนำสืบก่อน

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ขอให้ยึดที่ดินพร้อมกับเรือนเลขที่ 13/1 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้นตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 218/2506 ของศาลชั้นต้น

นายทาน วิรุณพันธ์ ร้องขัดทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า เป็นทรัพย์ของผู้ร้องมีคำสั่งถอนการยึด ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด

ต่อมาโจทก์ขอให้ศาลยึดทรัพย์ดังกล่าวอีก นายทาน วิรุณพันธ์ร้องขัดทรัพย์อีกและว่าเป็นการร้องซ้ำ

โจทก์ว่าจำเลยซื้อทรัพย์รายนี้จากผู้ร้องตั้งแต่พฤศจิกายน 2507จำเลยครอบครองตลอดมา

ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องแถลงว่า ทรัพย์ที่ร้องขอให้ปล่อยนั้นคือทรัพย์ที่ยึดตามบันทึกของเจ้าพนักงานบังคับคดีลงวันที่ 12 กันยายน 2508 ศาลชั้นต้นให้ผู้ร้องนำสืบก่อน แล้วให้โจทก์สืบแก้ แต่ทั้งสองฝ่ายแถลงว่าไม่สืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดไปตามสำนวน ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน

ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบก่อน พิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามมาตรา 148ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้สมจึงพิพากษาแก้ ให้ถอนการยึด

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีแพ่งแดงที่ 218/2506 (สาขาคดีที่ 1) ระหว่างนางภัทรา อยู่คำโจทก์ นายบัวพันธ์ แก้วคำ จำเลย นายทาน วิรุณพันธ์ ผู้ร้องขัดทรัพย์ซึ่งพิพากษาว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นของผู้ร้อง และผู้ร้องให้จำเลยอาศัยอยู่นั้น คดีถึงที่สุดแล้ว ผลแห่งคำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษา (22 เมษายน 2507) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ผู้ร้องใช้คำพิพากษานั้นยันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้นได้ โจทก์ให้การว่าข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป โดยจำเลยซื้อทรัพย์รายพิพาทจากผู้ร้องภายหลังจากศาลพิพากษาคดีดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงมีภาระในการนำสืบก่อนเมื่อโจทก์ไม่นำสืบ โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายแพ้คดี

ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่มือเปล่า จำเลยยึดถือไว้ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยยึดถือไว้เพื่อตน จึงควรให้ผู้ร้องนำสืบก่อนนั้น ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว คดีนี้ ผู้ร้องใช้คำพิพากษาคดีดังกล่าวแล้วยันโจทก์ได้ว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นของผู้ร้อง ข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกานั้น นำมาใช้ในคดีนี้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share