คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1271/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีจะเอาทรัพย์สินบริคณห์ไปโอนยกให้บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมของภริยาไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เรือนเลขที่ 474/27 ตามสัญญายกกรรมสิทธิ์เรือนลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2502 จำเลยอาศัยเรือนดังกล่าวจากเจ้าของเดิมโดยไม่มีสิทธิอาศัย โจทก์บอกเลิกการอาศัยหลายครั้ง จำเลยก็เพิกเฉย และอยู่ในเรือนโดยละเมิด ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการที่จะให้เช่าได้เดือนละ 600 บาท จึงขอให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เรือนพิพาทเป็นของจำเลยเป็นสินบริคณห์มีขึ้นระหว่างจำเลยเป็นภริยาพันตำรวจตรีสุทัศน์ ๆ ไม่มีสิทธิจะยกเรือนพิพาทให้โจทก์ทั้งหมดได้ จำเลยไม่ใช่เป็นผู้อาศัย จึงไม่ได้ละเมิดสิทธิโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง และเพิกถอนสัญญายกกรรมสิทธิ์เรือนรายพิพาทเสีย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้ออกเงินปลูกเรือนพิพาทขึ้นระหว่างพันตำรวจตรีสุทัศน์ยังเป็นสามีภริยากับจำเลย หนี้ค่าปลูกเรือนจึงเป็นหนี้ร่วม จะต้องชำระแก่โจทก์ ต่อมาพันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยหย่าขาดและแบ่งทรัพย์สินบริคณห์กันแล้ว เรือนพิพาทตกได้แก่พันตำรวจตรีสุทัศน์ ๆ ไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ จึงโอนเรือนพิพาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ โดยทำเป็นโอนยกให้เพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมน้อย

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อคู่ความรับกันว่าเรือนพิพาทเป็นสินบริคณห์ระหว่างพันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยแล้ว ย่อมถือว่าเรือนเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีสิทธิร่วม พันตำรวจตรีสุทัศน์จะเอาเรือนพิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ไปทำสัญญายกให้โจทก์โดยเสน่หาไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงไม่มีอำนาจทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1473(3ป แม้จะหย่ากันแล้ว ก็ไม่ได้กล่าวในหนังสือตกลงหย่าว่าเรือนพิพาทเป็นของใครเมื่อยังไม่ได้แบ่งกันก็ต้องเป็นทรัพย์ที่พันตำรวจตรีสุทัศน์กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันพันตำรวจตรีสุทัศน์จะเอาส่วนของจำเลยไปยกให้โจทก์ไม่ได้ จึงไม่มีสิทธิขับไล่จำเลยพิพากษายกฟ้องโจทก์เสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้เพิกถอนสัญญายกกรรมสิทธิ์เรือนพิพาท โดยถือว่าสัญญายกให้คงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนที่เป็นของพันตำรวจตรีสุทัศน์แต่ไม่ผูกพันถึงส่วนของจำเลย ค่าธรรมเนียมค่าทนายต่างให้เป็นพับกันไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เรือนพิพาทเป็นของพันตำรวจตรีสุทัศน์ เพราะหนังสือหย่าระบุว่าได้แบ่งทรัพย์บริคณห์กันเสร็จแล้ว พันตำรวจตรีสุทัศน์เป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมมีอำนาจโอนเรือนพิพาทตีใช้หนี้โจทก์ได้ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยเสีย และขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาทด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือตกลงหย่ามีข้อความเกี่ยวกับทรัพย์ว่าได้แบ่งทรัพย์สินบริคณห์ต่าง ๆ กันแล้วเท่านั้น หาได้กล่าวให้เห็นประจักษ์ว่าทรัพย์ที่แบ่งแล้วนั้น มีเรือนพิพาทร่วมอยู่ด้วยไม่ ซึ่งเมื่อฟังพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายแล้ว เห็นว่าจำเลยยังคงมีสิทธิในเรือนพิพาทในฐานะเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย เพราะเป็นทรัพย์สินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับพันตำรวจตรีสุทัศน์ โดยที่ยังไม่ได้แบ่งปันกันว่าตกได้แก่ฝ่ายใดจนบัดนี้ การที่พันตำรวจตรีสุทัศน์เอาไปโอนยกให้โจทก์โดยไม่ได้รับความยินยอมของจำเลยผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วยหาได้ไม่ และที่โจทก์อ้างว่าโอนเรือนพิพาทตีใช้หนี้ที่โจทก์ออกเงินทดรองให้พันตำรวจตรีสุทัศน์ไปปลูกเรือนหลังนี้ขึ้น จำเลยก็ปฏิเสธ พยานบุคคลของโจทก์ล้วนเกี่ยวดองเป็นญาติไม่น่ารับฟังเป็นความจริงดังนั้น การที่พันตำรวจตรีสุทัศน์เอาเรือนพิพาทไปโอนยกให้โจทก์ ก็ย่อมมีผลผูกพันเฉพาะส่วนที่พันตำรวจตรีสุทัศน์เป็นเจ้าของเท่านั้น หามีผลผูกพันไปถึงส่วนของจำเลยด้วยไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share