แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ช. มายืมเงินจากโจทก์แล้วมอบเช็คสองฉบับซึ่งมีจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์ไว้เพื่อชำระหนี้แต่เช็คทั้งสองฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมสั่งจ่ายแก่ผู้ถือโจทก์ไม่มีเงินฝากในธนาคาร จึงนำเช็คดังกล่าวไปให้ ก. เพื่อเข้าบัญชีของก. เพื่อเรียกเก็บเงิน ถือได้ว่าโจทก์เป็นเจ้าของเช็คพิพาทสองฉบับนั้น หากเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา2(4)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ได้ความว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นคดีของโจทก์ย่อมมีมูล (วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่10/2519)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2517 และ 25 กรกฎาคม 2517เวลากลางวัน จำเลยสั่งจ่ายเช็คของธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาบางรักจำนวนเงิน 2,000 บาท และ 2,200 บาทตามลำดับ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คทั้งสองฉบับนั้น โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปฝากเข้าบัญชีของนายกิ้ม แซ่เบ้ ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขากิ่งเพชรเพื่อให้เรียกเก็บเงินแทนโจทก์แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยอ้างว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” ทั้งนี้ โดยจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับนั้น จึงห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริต โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระจำเลยก็เพิกเฉย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย คดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
คดีได้ความจากการไต่สวนมูลฟ้องว่า เมื่อไม่ถึงปีมานี้ มีนายชานมายืมเงินโจทก์ 3,000 บาท ต่อมาอีก 3 เดือนก็มาเอาเงินจากโจทก์ไปอีก 1,200 บาท คราวนี้นายชานได้มอบเช็คเพื่อชำระหนี้ให้เป็นเช็คของธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาบางรักให้ไว้ 2 ฉบับ ซึ่งมีจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย ฉบับหนึ่งลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2517 จำนวนเงิน 2,000 บาท อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2517 จำนวนเงิน 2,200 บาท คือเช็คหมาย จ.2, จ.1 ตามลำดับ แต่เช็คทั้งสองฉบับเป็นเช็คขีดคร่อมสั่งจ่ายแก่ผู้ถือโจทก์ไม่มีเงินฝากในธนาคารจึงนำเช็คดังกล่าวไปให้นายกิ้ม แซ่เบ้ เพื่อเข้าบัญชีของนายกิ้ม แซ่เบ้ ที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขากิ่งเพชร เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารดังกล่าวได้ปฏิเสธการจ่าย โดยอ้างว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินตามใบคืนเช็คหมาย จ.3, จ.4 โจทก์ทวงถามนายชาน นายชานก็หลบหน้า โจทก์ขอให้จำเลยใช้เงินรายนี้ แต่จำเลยก็เพิกเฉย ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เช็คพิพาทหมาย จ.1, จ.2 นั้นเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ โจทก์เป็นเจ้าของเช็คพิพาท 2 ฉบับนี้ หากเช็คดังกล่าวเรียกเก็บเงินไม่ได้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีและในชั้นไต่สวนมูลฟ้องก็ได้ความว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับนี้ ฉะนั้น เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับตามเอกสารใบคืนเช็คหมาย จ.3, จ.4 ในเบื้องแรกจึงเห็นว่าคดีของโจทก์มีมูลตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องไปนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ประทับรับฟ้องโจทก์