คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายเคยปล่อยโคหากินตามลำพังในตอนเช้า ตอนบ่ายจึงต้อนกลับโคหายไป รุ่งขึ้นมีคนเห็นโคอยู่ตามลำพัง รุ่งขึ้นอีกวันจึงมีผู้เห็นจำเลยพาโคนั้นไป กรณีเช่นนี้จำเลยย่อมมีผิดฐานยักยอกเก็บทรัพย์ของผู้อื่นหามีผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรไม่ (ไม่ได้ความว่าจำเลยรู้มาก่อนว่าโคเป็นของผู้เสียหาย)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2500 มีคนร้ายลักโคของนายประสงค์ นันตะสุข ไป 1 ตัว วันที่ 29 เดือนเดียวกัน มีคนพบจำเลยอยู่กับโคของกลาง ทั้งจำเลยได้ฆ่าโคตัวนี้เสีย ขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรและใช้ราคาโค และฐานผิด พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเชื่อว่า จำเลยที่ 1, 2 เป็นคนร้ายลักโครายนี้หลักฐานว่าคนทั้งสองฆ่าโคด้วยนั้นยังไม่พอรับฟังพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลอาญา มาตรา 335(7)(12) คนละ 2 ปี และให้ใช้ราคาโค แต่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3 และลงโทษจำเลยที่ 1-2ฐานฆ่าโคไม่ได้รับอนุญาตด้วย

จำเลยที่ 1-2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าหลักฐานโจทก์ไม่พอลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานใดเลย พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1-2 ด้วย

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-2

ศาลฎีกาฟังว่า ผู้เสียหายมีโค 2 ตัว เคยเลี้ยงโดยตอนเช้าปล่อยโคออกจากบ้านไปหากินตามลำพัง ตอนบ่ายจึงต้อนกลับ ในวันเกิดเหตุที่ 27 เมษายน 2500 ตอนบ่ายผู้เสียหายไปดูไม่เห็นโคเช่นเคยค้นอยู่จนค่ำก็ไม่พบ รุ่งขึ้นค้นอีกจนเที่ยงก็ไม่พบ จึงไปแจ้งความกับนายบุญผู้ใหญ่บ้าน ครั้นตกค่ำโคกลับมาบ้านตัวหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ 29 มีคนมาบอกว่าเห็นโคนอนอยู่ตามทางเดินในหมู่บ้าน ต่อมามีพยานเห็นจำเลยที่ 1-2 อยู่กับโคนั้น และพาโคไปทางหมู่บ้านขัวขอนแคน มีพยานอีกปากเห็นจำเลยทั้งสามหาบเนื้อออกจากป่าช้านายบุญผู้ใหญ่บ้านจึงไปดูที่ป่าช้าพบซากโคเป็นโคตัวที่หาย จึงพากันไปดูที่กระท่อมจำเลยที่ 1 ตอนนั้นเวลาค่ำแล้ว เห็นจำเลยที่ 1เอาไหเนื้อฝังดินไว้เมื่อตอนจวนสว่าง รูปคดีเป็นดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าพยานโจทก์พอลงโทษจำเลยหรือไม่มีข้อที่จะต้องคิดว่าจำเลยจะมีผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่ากรณีฟังได้ถนัดว่าโคพลัดเพริดไปโดยอิสสระการที่จำเลยที่ 1-2 มาจับเอาไปในตอนหลังก็ไม่ได้ความว่า จำเลยรู้ว่าเป็นโคของผู้เสียหายฉะนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจะเป็นผิดทางอาญาก็แต่ในฐานยักยอกเก็บทรัพย์ของผู้อื่นตามประมวลอาญา มาตรา 352 วรรคสอง เท่านั้นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องในสาระสำคัญจะลงโทษจำเลยไม่ได้ คดีไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันใดต่อไปศาลฎีกาพิพากษายืน

Share