แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ชายหญิงเป็นสามีภริยากันตั้งแต่ก่อนใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ 5 ตลอดมาจนใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ 5 แล้ว แม้จะมิได้จทะเบียนสมรสก็นับว่าชายหญิงนั้นเป็นคู่สมรสกันตาม ก.ม.ฉะนั้นชายจึงไม่มีสิทธิจะทำการสมรสกับหญิงอื่นอีก เพราะตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1445(3) บัญญัติห้ามมิให้ชายหญิงทำการสมรสเมื่อยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ ภริยาเดิมขอให้เพิกถอนทะเบียนสมรสที่ชายไปจดใหม่นั้นเสียได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า จำเลยที่ ๑ กับโจทก์ได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่ พงศ. ๒๔๖๗ ก่อนประกาศ ใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ ๕ และโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังคงเป็นสามีภริยากันตลอดมาจนบัดนี้ แต่แยกกันอยู่ครั้นวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๔๙๒ จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกันที่อำเภอเมืองภูเก็ตขณะที่โจทก์ยังเป็นภริยาของจำเลยที่ ๑ อยู่ โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาว่า การจดทะเบียนระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนเสีย จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังไม่เคยจดทะเบียนสมรสกัน โจทก์เป็นภรรยาจำเลยที่ ๑ ตาม ก.ม.เก่า ตาม ก.ม.เก่าให้ชายมีภรรยาได้หลายคน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองนั้นเสีย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ แม้จะมิได้จดทะเบียนสมรส (เพราะก่อนใช้ ป.ม.แพ่งฯ) ก็นับว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นคู่สมรสกันตาม ก.ม. ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ ย่อมไม่มีสิทธิทำการสมรสได้เพราะตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๔๔๕(๓) บัญญัติห้ามมิให้ชายหรือหญิงทำการสมรส เมื่อยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่
จึงพิพากษายืน