แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดฐานให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ปรับ 200 บาทกับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 8 ปี คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัด ต่อมาคดีที่โจทก์ถูกฟ้องนั้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เช่นนี้ ต้องถือว่าคำสั่งจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติลบล้างมลทินโทษ พ.ศ.2500 ไม่มีผลทำให้คำสั่งของจำเลยที่สั่งไว้ก่อนแล้วเช่นนั้นเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย
ย่อยาว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลย 2 คน ต่อมาถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลอนุญาต
ในฟ้องว่า โจทก์ถูกอัยการชลบุรีฟ้องหาว่าโจทก์ทำผิดพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด พ.ศ. 2482 มาตรา 63 ฐานให้ทรัพย์สินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาว่าโจทก์ผิดตามฟ้องปรับ 200 บาท กับให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 8 ปี ตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ 93/2499 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ คดีนั้นยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยที่ 2 โดยอนุมัติและเห็นชอบของจำเลยที่ 1 ได้ออกคำสั่งให้โจทก์ออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาจังหวัดฐานขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยเหตุที่ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาว่าโจทก์มีความผิดดังกล่าวข้างต้น การกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่โจทก์ถูกศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งนั้น คดียังไม่ถึงที่สุดโจทก์จึงยังไม่ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัด ขอให้พิพากษาสั่งเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 2เลขที่ 261/2499 และให้โจทก์คงมีสภาพเป็นสมาชิกสภาจังหวัดชลบุรีตามเดิม
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ราชการอันชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริต โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่า ที่ออกคำสั่งเนื่องจากคดีอาญาแดงที่ 93/2499 ที่ศาลพิพากษาเพิกถอนสิทธิโจทก์ และคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่ศาลพิพากษาปรับและให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของโจทก์เช่นนี้ จำเลยย่อมมีอำนาจสอบสวนสั่งให้โจทก์ออกจากสมาชิกสภาจังหวัดได้ เป็นการกระทำโดยอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยชอบ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องยังไม่ถึงที่สุดก็ยังบังคับคดีโทษอาญาไม่ได้ โจทก์ยังไม่ขาดคุณสมบัตินั้นพิพากษากลับว่าโจทก์ยังไม่ขาดคุณสมบัติ คำสั่งของจำเลยไม่ชอบ ให้เพิกถอน
ระหว่างฎีกาคดีนี้ คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้อง ถึงที่สุด โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า บัดนี้ปรากฏว่าคดีที่โจทก์ถูกฟ้องดังกล่าวนั้นถึงที่สุดแล้ว โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเช่นนี้ ต้องถือว่าคำสั่งจำเลยดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย คำฟ้องของโจทก์จึงตกไป
ส่วนที่โจทก์โต้แย้งมาในคำแก้ฎีกาว่า แม้คดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องถึงที่สุดแล้วก็ดี แต่โจทก์ก็ได้รับนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัติลบล้างมลทินโทษ พ.ศ. 2500 ซึ่งถือว่าโจทก์ไม่เคยทำความผิดมาก่อนเลย นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติลบล้างมลทินโทษที่โจทก์อ้าง ไม่มีผลทำให้คำสั่งของจำเลยที่สั่งไว้ก่อนแล้วเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง