คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนไปประมูลและทำการก่อสร้างอาคาร เมื่อจำเลยที่ 3 ว่าจ้างโจทก์ติดตั้งกระจกและบานประตูจนโจทก์ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้างจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา 1077(2) ประกอบด้วยมาตรา1087
ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมาย จ.3 เป็นเรื่องที่ห้างจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 3 ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ 3 เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพรางนั้น จำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ได้ล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวอันเป็นการไม่สุจริตแต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และได้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 3 ให้ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดโดยกำหนดจำนวนหนี้แตกต่างกัน จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ 3 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา142(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๓ ไปรับเหมาก่อสร้างอาคารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำพูน ในการก่อสร้างจำเลยที่ ๓ ได้ว่าจ้างโจทก์ให้ติดบานอะลูมิเนียม ติดกระจก และสั่งซื้อกระจกหลายรายการและหลายคราวโดยจำเลยที่ ๓ ทำไปภายในขอบอำนาจ โจทก์ได้จัดการตามคำสั่งของจำเลยที่ ๓ เรียบร้อยแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระราคา ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงิน ๙๔,๙๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ขาดคุณสมบัติในการยื่นซองประกวดราคา จึงอาศัยชื่อจำเลยที่ ๑ ประมูลเอางานนี้มาแล้วจำเลยที่ ๓ เป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้น จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ประมูลได้แล้วจำเลยที่ ๓ ทำสัญญาจ้างเองตามลำพัง หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ ๑ ทำให้จำเลยที่ ๓ นั้นเป็นการทำอำพรางเพื่อให้จำเลยที่ ๓ เอาชื่อจำเลยที่ ๑ ไปยื่นซองประกวดราคาเท่านั้น หนี้ตามฟ้องไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๓ ไปแล้ว ๓๘,๒๐๐ บาท ส่วนที่ค้างอีก ๕๖,๗๙๔ บาท จำเลยที่ ๓ ก็ได้ออกเช็คให้โจทก์ไว้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ๙๔,๙๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้แล้ว ๓๘,๒๐๐ บาท พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รับผิดใช้เงิน ๕๖,๗๙๔ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่า หนังสือมอบอำนาจหมาย จ.๓ เป็นเรื่องห้างจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๓ ยืมชื่อไปใช้ประมูลและทำการก่อสร้างอาคารโดยจำเลยที่ ๓ เข้าทำการก่อสร้างเอง จึงเป็นนิติกรรมอำพราง จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิได้ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ได้ล่วงรู้ถึงการที่ห้างจำเลยที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๓ ยืมชื่อไปเสนอราคาก่อสร้างและรับจ้างก่อสร้างอาคารหลังนี้อันเป็นการไม่สุจริตแต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ดังกล่าวจึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องได้รับความเสียหายหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๘ วรรคแรก คดีจึงต้องฟังว่าจำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ ๑ ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ ๓ ว่าจ้างโจทก์ติดตั้งกระจกและประตูอะลูมิเนียมจนโจทก์ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้างจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระค่าจ้างให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๒๐ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดร่วมด้วยตามมาตรา ๑๐๗๗(๒) ประกอบด้วยมาตรา ๑๐๘๗
ปรากฏตามคำฟ้องและทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ ๓ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ และได้กระทำแทนจำเลยที่ ๑ ภายในขอบอำนาจแห่งฐานเป็นตัวแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ ๓ ชำระหนี้ตามฟ้องได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยกำหนดจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ ๓ จะต้องชำระแตกต่างกัน กรณีจึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ ๓ จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทั้งไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายให้จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share