แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และผู้ร้องขัดทรัพย์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมเป็นใจความว่า ผู้ร้องขอให้โจทก์ขายทอดตลาดเฉพาะเรือนตามประกาศทรัพย์อันดับ 2 ไปก่อน หากขายเรือนได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องจะยอมชำระเงินให้โจทก์แทนจำเลยจนครบ ฯลฯ ดังนี้ เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยขาดจำนวนอยู่ผู้รองต้องชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอม เมื่อไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับผู้ร้องชำระหนี้จำเลยจนครบได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมโดยจำเลยยอมใช้เงิน ๕,๒๘๗ บาท และชำระดอกเบี้ยในเงินต้น ๒,๙๑๕ บาท อัตราชั่งละ ๑ บาทต่อเดือน จำเลยไม่ชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดที่ ๒๗๑๕ ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์
ต่อมาโจทก์และผู้ร้องได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมเป็นใจความว่าข้อ ๑. ผู้ร้องขอให้โจทก์ขายทดตลาดเฉพาะเรือนตามประกาศยึดทรัพย์อันดับที่ ๒ ไปก่อน หากขายเรือนดังกล่าวได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาผู้ร้องจะยอมชำระเงินให้โจทก์แทนจำเลยจนครบ ฯลฯ โดยขอให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินตามประกาศยึดทรัพย์อันดับ ๑ เสีย ฯลฯ ข้อ ๒. โจทก์ยอมตกลงตามข้อ ๑. แต่จะขอถอนการยึดให้ก็ต่อเมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาครบแล้วตามข้อ ๑.
ต่อมาขายทอดตลาดเรือนเป็นราคา ๑๐,๕๕๐ บาท โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามส่วนเฉลี่ย ๓,๔๘๕.๗๑ บาท คงขาดไป ๒,๘๒๔.๕๗ บาท
โจทก์ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้และยังขาดจำนวนอยู่ดังกล่าว ขอให้ออกคำสั่งบังคับให้ผู้ร้องนำเงินตามจำนวนที่ยังขาดมาชำระให้โจทก์ภายใน ๑๐ วัน ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องต้องชำระหนี้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับผู้รองชำระหนี้แทนจำเลยจนครบตามที่ผูกพันตนเข้ามา
พิพากษายืน