คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1263/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.276 ซึ่งอยู่ในหมวดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่มีผิดตาม ม.276 หากแต่ผิดตาม ม.270 อันเป็นความผิดอยู่ในหมวดเดียวกัน เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพอยู่ในตัวศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ม.270 ซึ่งมีโทษเบากว่าได้ ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 192

ย่อยาว

ฉุดคร่าห์-อนาจาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับนายบุญยงค์สมคบกันพาเอานางมุกดาหรือจรรยา อายุ ๑๔ ปี ไปเพื่ออนาจารโดยใช้มีดเป็นสาตราวุธขู่เข็ญและฉุดคร่าพาไปด้วยกำลังขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๗๖,๖๓
จำเลยทั้งสามปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าการที่จำเลยช่วยนายบุญยงค์ฉุดคร่านางมุกดาก็เพื่อให้ไปอยู่กินกับนายบุญยงค์ แม้นายบุญยงค์จะเป็นสามีนางมุกดา ไม่มีความผิดก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว หาทำให้จำเลยทั้งสามผู้สมคบซึ่งลงมือกระทำการฉุดคร่าพ้นผิดไปด้วยไม่ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญาม.๒๗๖,๖๓ ให้จำคุกจำเลยคนละ ๘ เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ ๕ ปี ตาม ม.๔๑,๔๒ ที่แก้ไข
น.ส.มุกดา ฯ โจทก์ร่วมอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยไปทีเดียว โดยไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสามผิดตามก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๗๐ ตอนต้น ให้จำคุกจำเลยคนละ ๓ เดือน และให้ลงโทษไปทีเดียวโดยไม่รอ
จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ศาลอุทธรณ์จะลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๗๐ ได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญา ม.๒๗๖ ซึ่งอยู่ในหมวดฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ เมื่อฟังว่าจำเลยไม่ผิดตาม ม.๒๗๖ หากแต่ผิดตาม ม.๒๗๐ อันเป็นความผิดอยู่ในหมวดเดียวกัน เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพอยู่ในตัว ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตาม ม.๒๗๐ ซึ่งมีโทษเบากว่าได้ตาม ป.วิ.อาญา ม.๑๙๒ พิพากษายืน

Share