แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ และเถียงในเรื่องค่าเสียหาย ครั้นต่อมายอมรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า โจทก์จำเลยยอมรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง คู่ความคงโต้เถียงกันฉะเพาะราคานาพิพาทและค่าเสียหายเท่านั้น และในที่สุดไม่ติดใจโต้เถียงเรื่องราคานา+เสียหายจำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน 800 บาท ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่สมบูรณ์ และเมื่อเรื่องราคานาและจำนวนค่าเสียหายจำเลยก็ไม่เถียงต่อไปแล้ว คดีก็เป็นอันไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป ศาลพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญายอมความนั้น และให้ใช้ค่าเสียหายตามจำนวนที่โจทก์จำเลยยอมรับกันได้ทีเดียว จำเลยจะมาเถียงในชั้นฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมรายนี้ย่อมฟังไม่ได้
จำเลยรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง แต่ต่อสู้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์โดยเกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่จำเลยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่นามีโฉนด เนื้อที่ ๘ ไร่ราคา ๘๘๐๐ บาทให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๒๐๐ บาทแก่โจทก์เพราะจำเลยไม่ยอมแบ่งที่ให้ เป็นเหตุให้โจทก์เข้าทำนารายนี้ในปี ๒๔๙๒ ไม่ได้
จำเลยให้การยืดยาวฟุ่มเฟือย คงมีใจความว่าจำเลยรับว่าได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์ฟ้องจริง แต่เกิดขึ้นโดยกลฉ้อฉลของโจทก์ ส่วนค่าเสียหายโจทก์ไม่ควรจะได้รับและว่าค่าเสียหาย ๑๒๐๐ บาทแพงเกินควร
ครั้นต่อมาปรากฎในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยโจทก์จำเลยลงลายมือชื่อให้ไว้มีใจความสำคัญว่า “โจทก์จำเลยรับกันว่า ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามสำเนาท้ายฟ้องจริง………คู่ความคงโต้เถียงกันฉะเพาะเรื่องราคานาพิพาทและ ค่าเสียหายเท่านั้น……..ค่าเสียหายโจทก์ว่า ๑๒๐๐ บาท จำเลยว่า ๖๐๐ บาท ในที่สุดคู่ความตกลงว่าไม่ติดใจโต้เถียงกันในเรื่องราคานา คงติดใจโต้เถียงกันแต่ในเรื่องค่าเสียหายเท่านั้น”
ต่อมาปรากฎในรายงานกระบวนพิจารณาฉะบับต่อมาว่า “คู่ความรับกันว่าค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ทำนาในปีนี้ คำนวณตามค่าเช่าเป็นเงิน ๘๐๐ บาทจริง…..คู่ความโต้เถียงกันในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ฝ่ายจำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดโจทก์ไม่คัดค้าน ศาลเห็นว่าประเด็นเท่าที่คู่ความแถลงรับกันพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป”
แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งนาให้โจทก์ ๘ ไร่ ราคา ๘๘๐๐ บาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๘๐๐ บาทกับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนาย ๒๕๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยรับอยู่แล้วว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมตามที่โจทก์นำมาฟ้องจริง ฉะนั้นเมื่อจำเลยกล่าวหาอ้างว่าสัญญานี้ไม่สมบูรณ์ เกิดขึ้นจากกลฉ้อฉลของโจทก์ ประเด็นข้อนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของจำเลยต้องนำสืบ หาใช่เป็นหน้าที่โจทก์นำสืบดังจำเลยฎีกาไม่
ตามที่จำเลยแถลงไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาของศาล ๒ ครั้ง เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้โต้เถียงต่อไปแล้วว่า สัญญาประนีประนอมยอมความรายนี้ไม่สมบูรณ์ จำเลยคงโต้เถียงต่อไปแต่ในเรื่องราคานากับค่าเสียหาย ซึ่งต่อมาจำเลยก็แถลงไม่ได้โต้เถียงราคานาอีก และเรื่องค่าเสียหายจำเลยก็รับในที่สุดว่าคิดเป็นเงิน ๘๐๐ บาท คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบกันต่อไป จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับในเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญาประนีประนอมยอมความรายนี้นั้น ฟังไม่ได้ และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งไม่ให้จำเลยสืบพยาน จำเลยก็หาได้โต้แย้งแม้ในอุทธรณ์และฎีกาของจำเลย ๆ ก็คงเถียงอยู่แต่ว่าเป็นหน้าที่โจทก์นำสืบเรื่องความสมบูรณ์ของสัญญารายนี้อยู่นั่นเอง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน