แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2509 โดยอ้างว่าจำเลยได้กลับมาบ้านเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2509 รุ่งขึ้นก็ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลย เช่นนี้ จำเลยจึงรู้ได้ว่าถูกฟ้องและมีการบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ได้ยื่นคำขอ ฯ ภายในกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 ทั้งคำขอของจำเลยก็มิได้กล่าวโดยละเอียดและชัดแจ้ง ซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินของศาลว่าไม่ถูกต้องประการใด คำขอของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้ และตามรูปคดีศาลก็ไม่จำต้องทำการไต่สวนคำขอของจำเลยต่อไป เพราะตามคำขอของจำเลยก็พอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว
ย่อยาว
ศาลพิพากษาโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง ต่อมาศาลได้ออกคำบังคับและปิดคำบังคับไว้ที่เรือนจำเลย แล้วนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลย
จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนแล้ววินิจฉัยสั่งให้ยกคำขอของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๐๙ มีข้อความปรากฏว่าจำเลยกลับมาถึงจังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๙ รุ่งขึ้นจำเลยก็ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยไว้ จำเลยจึงได้ทราบว่าถูกฟ้องและศาลพิพากษาคดีไปแล้ว อันแสดงว่าเลยได้รู้ว่าได้มีการบังคับคดีแล้วตั้งแต่วันที่ถูกยึดทรัพย์ จำเลยจึงต้องยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่เสียภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่จำเลยได้รู้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ได้กำหนดไว้ และคำขอของจำเลยก็ปรากฏว่ามิได้กล่าวโดยละเอียดและชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลว่าคำวินิจฉัยของศาลที่ให้จำเลยแพ้คดีนั้นไม่ถูกต้องเป็นประการใดบ้าง ตามคำขอของจำเลยคงกล่าวแต่เพียงว่าที่ศาลพิจารณาพิพากษาไปแล้วยังคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย หากจำเลยได้มาต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีทางชนะเท่านั้น หาเป็นข้อความที่เป็นข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดและชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ วรรคท้ายได้บัญญัติไว้ไม่ คำขอของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้ และตามรูปคดี ศาลฃั้นต้นก็ไม่จำต้องทำการไต่สวนคำขอของจำเลยอีกต่อไปตามที่จำเลยได้ฎีกามา เพราะพฤติการณ์ตามคำขอของจำเลยก็พอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว ฉะนั้น ที่ศาลทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษาให้ยกคำขอของจำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น และศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นอีกต่อไป
พิพากษายืน