คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจัดหางานโดยตั้งสำนักงานและโฆษณาชักชวน ประชาชนให้มาสมัครงานโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ในความผิดฐานฉ้อโกง ประชาชนโจทก์บรรยายฟ้องว่าความจริงจำเลยไม่ประสงค์ที่จะจัดหางาน ดังกล่าวอย่างจริงจัง และไม่มีงานที่จะให้คนมาสมัครงานทำดังที่ ประกาศโฆษณาไว้แต่อย่างใด จำเลยเพียงแต่ตั้งสำนักงานจัดหางาน ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อมาติดต่อกับจำเลยแล้ว จะได้หลอกเอาเงินค่าสมัครงานและค่าบริการต่าง ๆ จากประชาชน เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหาย แต่อย่างใดจำเลยเพียงแต่อ้างการจัดตั้งสำนักงานจัดหางานมาเป็น ข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511แม้จำเลย ให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ก. จำเลยจัดหางานโดยตั้งสำนักงานจัดหางานและโฆษณาชักชวนประชาชนให้มาสมัครทำงานที่สำนักงานของจำเลยในตำแหน่งต่าง ๆ โดยเรียกและรับเงินค่าบริการโดยมิได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ข. จำเลยโดยทุจริตได้หลอกลวงประชาชนโดยทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยได้ตั้งสำนักงานดังกล่าวขึ้นแล้วประกาศโฆษณาแก่ประชาชนทั่วไปด้วยวิธีการต่าง ๆ และได้ลงประกาศโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับเชิญชวนประชาชนให้มาสมัครทำงานดังกล่าว โดยความจริงแล้วจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานตามที่กล่าว จำเลยไม่ประสงค์ที่จะจัดงานดังกล่าวอย่างจริงจังและก็ไม่มีงานที่จะให้คนมาสมัครงานทำดังที่ประกาศโฆษณาไว้นั้นแต่อย่างใด จำเลยเพียงแต่ตั้งสำนักงานจัดหางานดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อมาติดต่อกับจำเลย แล้วจะได้หลอกเอาเงินค่าสมัครงานและค่าบริการต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นเหตุให้จำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 343, 91 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ฉ้อโกงไปแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานให้ยกฟ้อง แต่ผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง ข้อ ข. จำคุก 4 ปีปรับ 5,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี และปรับ 2,500 บาทรอการลงโทษจำคุก 3 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินที่ฉ้อโกงไปคำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาว่าตามฟ้องข้อ ก. ของโจทก์ จำเลยได้กระทำความผิดฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2511 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจัดหางานโดยตั้งสำนักงานจัดหางานและโฆษณาชักชวนประชาชนให้มาสมัครทำงานที่สำนักงานของจำเลยในตำแหน่งต่าง ๆโดยเรียกและรับเงินค่าบริการ แต่ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนโจทก์บรรยายฟ้องและจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนทั่วไปโดยได้ตั้งสำนักงานจัดหางานดังกล่าวขึ้นแล้วประกาศโฆษณาแก่ประชาชนทั่วไป รับสมัครคนหางานในตำแหน่งต่าง ๆ อันเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้จัดหางานจำเลยไม่ประสงค์ที่จะจัดหางานดังกล่าวอย่างจริงจังและไม่มีงานที่จะให้คนมาสมัครงานทำดังที่โฆษณาไว้แต่อย่างใดจำเลยเพียงแต่ตั้งสำนักงานจัดหางานดังกล่าวขึ้นมาเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อมาติดต่อกับจำเลย แล้วจะได้หลอกเอาเงินค่าสมัครงานและค่าบริการต่าง ๆ จากประชาชน เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่พวกผู้เสียหายแต่อย่างใด จำเลยเพียงแต่อ้างการจัดตั้งสำนักงานจัดหางานมาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้ค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share