แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทอยู่ภายในเขตหวงห้ามตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดูแลรักษาและหวงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาจับจองครอบครองหักล้างเข้าจัดทำหรือปลูกสร้างด้วยประการใด ๆ ในที่ดินนี้ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์บรรพบุรุษของโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่ใช่ที่ดินอยู่ในความคุ้มครองหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ขอห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทต่อไปฟ้องและคำขอบังคับคดีของโจทก์จึงมีผลกระทบไปถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีย่อมจะใช้สิทธิเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ หรือใช้สิทธิฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามลำพัง ตามคำร้องของจำเลยที่1 ที่ขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานี้โจทก์ควรจะฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นจำเลยด้วย จำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรียอมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยดี มิได้คัดค้านประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้จึงเป็นการชอบ ที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยมิได้ฟังคำคัดค้านของโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยเห็นสมควรโดยถือเอาคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นมูลฐานพิจารณาสั่งตามอำนาจของศาล จึงไม่จำเป็นฟังคำคัดค้านของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ได้นำรถแทรกเตอร์บุกรุกเข้าไปบุกเบิกที่ดินของโจทก์ โดยอ้างว่าเช่าจากจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่าได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทตำบลขุนโขลน อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี พ.ศ. 2479 หวงห้ามที่ดินไว้เพื่อการพระศาสนา โจทก์ครอบครองภายหลังใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หากโจทก์มีความเสียหาย ก็เป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เช่าที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ที่พิพาทไม่มีพืชผลอะไร โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์หรือบรรพบุรุษโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต และหมายเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีให้การว่า ที่พิพาทที่โจทก์อ้างว่าได้ครอบครองมานั้น เป็นป่าและเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทซึ่งหวงห้ามไว้เพื่อการพระศาสนา โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท แม้จะได้เคยครอบครองก็เป็นการครอบครองภายหลังใช้พระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดิน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิด
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ไม่ควรเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งและยกคำร้องของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลได้สั่งไปชอบแล้ว ให้รับคำร้องของโจทก์ไว้ในฐานะคำแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายที่พิพาทเป็นที่อยู่ภายในเขตแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาท ฯลฯ พ.ศ. 2479 โจทก์เข้าครอบครองภายหลัง จึงไม่มีสิทธิครอบครองเหนือที่พิพาท โจทก์ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยที่ 2 ทำต้นไม้อะไรของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจดูแลรักษาและหวงห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาจับจองครอบครองหักล้างเข้าจัดทำหรือปลูกสร้างด้วยประการใด ๆ ในที่ดินนี้ คดีนี้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาชัดแจ้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ บรรพบุรุษของโจทก์และโจทก์ได้ครอบครองต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ไม่ใช่ที่ดินอยู่ในความคุ้มครองหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ขอห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องที่ดินพิพาทต่อไป ฟ้องและคำขอบังคับคดีของโจทก์จึงมีผลกระทบไปถึงอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเกี่ยวกับที่ดินพิพาท ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีย่อมจะใช้สิทธิเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้เพื่อต่อสู้คดีโจทก์ หรือใช้สิทธิฟ้องโจทก์เกี่ยวกับที่ดินพิพาทได้ตามลำพัง ตามคำร้องของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานี้ โจทก์ควรจะฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นจำเลยด้วยจำเลยที่ 1 จึงขอให้ศาลเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามมาตรา 57(3) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หมายเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรียอมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยดี มิได้คัดค้านประการใด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกัน ให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมคดีนี้จึงเป็นการชอบ ที่โจทก์อ้างว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยมิได้ฟังคำคัดค้านของโจทก์ก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยเห็นสมควร โดยถือเอาคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นมูลฐานพิจารณาสั่งตามอำนาจของศาล จึงไม่จำเป็นฟังคำคัดค้านของโจทก์ และเห็นว่าขณะทางราชการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินบริเวณพระพุทธบาทฯ พ.ศ. 2479 ที่พิพาทเป็นป่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า โจทก์เข้ามาอยู่ในที่พิพาทภายหลังจากทางราชการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกานี้แล้ว จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์