แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เอาที่ดินไปเป็นประกันเงินกู้ของบุตรเขย ต่อมาได้ไปของไถ่ที่ดินคืน จำเลยผู้ให้กู้อ้างว่าเป็นที่ดินของบุตรเขยโจทก์ บุตรเขยโจทก์ได้ขายให้จำเลยแล้วเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแก่โจทก์แล้วว่าจำเลยไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ไม่ฟ้องเสียใน 1 ปี จำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่นาพิพาท เมื่อ ๗ ปี มานี้โจทก์ได้นำที่พิพาทไปเป็นหลักประกันเงินกู้ที่บุตรเขยโจทก์ได้กู้ไปจากจำเลยโดยยอมให้จำเลยใช้นาโจทก์ทำต่างดอกเบี้ย ได้ทำหนังสือเป็นหลักฐานเมื่อประมาณ ๑ เดือนมานี้โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยเอาที่พิพาทไปจำนองโจทก์ไปคัดค้านและขอไถ่คืน จำเลยไม่ยอม จึงขอให้จำเลยรับชำระหนี้ซึ่งโจทก์จะขอชำระแทนบุตรเขย แล้วคืนที่นาให้โจทก์
จำเลยแก้ว่าเป็นนาของบุตรเขยโจทก์ ๆ ได้ขายให้จำเลย ๆ ได้ครอบครองโก่นสร้างที่ดินเพิ่มขึ้น โจทก์ฟ้องเกิน ๑ ปี ขาดอายุความแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องกู้เงินจำเลยไม่ได้ครอบครองเพื่อตน พิพากษาให้จำเลยรับชำระหนี้และคืนที่ให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามคำให้การโจทก์เองปรากฎว่าเมื่อ ๔-๕ ปีมานี้โจทก์ไปขอไถ่ที่พิพาท จำเลยไม่ยอมให้ไถ่อ้างว่าเป็นที่ของบุตรเขยโจทก์ขายให้ จำเลยแล้วเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาต่อโจทก์โดยตรงแล้วว่าจำเลยถือสิทธิเพื่อตนตั้งแต่จำเลยปฏิเสธเป็นต้นมาต้องตาม ป.พ.พ.ม.๑๓๘๑ ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าโจทก์ไม่ฟ้องเสียใน ๑ ปี จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์