แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งได้จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ และต้องอุทธรณ์คำสั่งหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในส่วนอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไว้ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบและถือว่าปัญหานี้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 การที่จำเลยฎีกาปัญหานี้ขึ้นมาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 65234 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยดำเนินการแบ่งทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันตามฟ้องให้แก่โจทก์ตามสิทธิตามส่วน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจำเลยไม่สามารถดำเนินการตามคำขอดังกล่าวได้ ให้นำทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันออกขายทอดตลาด นำเงินมาแบ่งกันตามส่วนที่เท่ากัน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 65234 ตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 16 ตารางวา หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยแบ่งรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน ผค 382 เชียงใหม่ เงินจำนวน 68,031.13 บาท ทองรูปพรรณหนัก 20 บาท ราคา 250,000 บาท แหวนเพชร 1 วง ราคา 25,000 บาท แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์หรือไม่สามารถแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ถือว่าไม่ติดใจสืบพยานจำเลย ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดไกล่เกลี่ยหรือสืบพยานโจทก์และจำเลยในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 โดยกำชับให้คู่ความทั้งสองฝ่ายมาศาลในวันนัด หากไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ให้เตรียมพยานมาพร้อมสืบ มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจสืบพยาน เมื่อถึงวันนัดจำเลยและทนายจำเลยไม่มาศาล โดยทนายจำเลยมอบฉันทะให้ผู้รับมอบฉันทะยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างเหตุว่า ทนายจำเลยมีอาการปวดหัวและมึนงงอย่างรุนแรงเนื่องจากป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง และจำเลยเพิ่งคลอดบุตรโดยวิธีผ่าท้อง แพทย์ให้พักรักษาตัว 90 วัน จึงไม่สามารถมาศาลได้ โดยจำเลยอ้างใบรับรองแพทย์ที่ออกให้เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ส่วนทนายจำเลยอ้างใบนัดหมายของแพทย์ที่ออกให้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 และแพทย์นัดพบวันที่ 4 กันยายน 2556 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้โจทก์นำพยานเข้าสืบ หลังจากสืบพยานโจทก์ทั้งสามปากเสร็จในเวลา 11.30 นาฬิกา ทนายจำเลยมาแถลงต่อศาลยืนยันว่ามีอาการป่วยจริง ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยแล้วไม่มีพยานมาศาล จึงมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยโดยถือว่าไม่ติดใจสืบพยานจำเลย และให้นัดฟังคำพิพากษาวันที่ 19 กันยายน 2556 ซึ่งคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ และต้องอุทธรณ์คำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในส่วนอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไว้ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบและถือว่าปัญหานี้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 การที่จำเลยฎีกาปัญหานี้ขึ้นมาจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาพร้อมกับอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่จำเลยโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ทั้งผลการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 5 อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความ ประกอบกับคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งไม่ถูกต้อง และต้องให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ถูกต้องก่อน จึงสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยในประเด็นที่ยังไม่ได้วินิจฉัยต่อไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น และยกฎีกาของจำเลย ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ