คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครจะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บริษัทจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไป ๑๘๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยได้ออกเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาอู่ทอง สองฉบับชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ให้นายสุรศักดิ์นำเช็คทั้งสองฉบับเข้าบัญชีของนายสุรศักดิ์ที่ธนาคารกรุงเทพ ฯ พาณิชย์การ จำกัด สาขาทุ่งคอก แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าสำนักงานของจำเลยตามที่จดทะเบียนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น โจทก์ไม่เป็นผู้ทรงเช็คโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ๑๘๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ บริษัทจำเลยมีโรงงานผลิตน้ำตาลแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บริษัทจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ ๙๙ หมู่ ๓ ตำบลหนองโอ่ง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย หาได้ประชุมผู้ถือหุ้นที่สำนักงานแห่งใหญ่ดังที่จดทะเบียนไว้ไม่ ทั้งปรากฏจากรายงานการส่งหมายเรียกว่าเจ้าพนักงานศาลได้นำหมายเรียกไปส่งตามที่อยู่ในฟ้องก็พบภริยาของนายบุญมั่นและนายสุนทรกรรมการบริษัทจำเลยและได้ปิดหมายไว้ที่บริษัทจำเลยตามที่ระบุในคำฟ้อง แสดงให้เห็นว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าที่นั่นเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๖๘ เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่ที่อยู่กรุงเทพมหานครเท่านั้น จะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นด้วย ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้
แต่ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดคือวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้น เห็นว่าเป็นการเขียนหรือพิมพ์ผิดพลาดเล็กน้อย ที่ถูกจะต้องเป็นวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขข้อผิดพลาดเสียให้ถูกต้อง
พิพากษายืน เว้นแต่ดอกเบี้ยให้นับตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒

Share