คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ซื้อเอาเงินของผู้อื่นมาซื้อตึกจากผู้ขาย ผู้ซื้อย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องผู้ขายในกรณีที่ผู้ขายผิดสัญญาจะซื้อขายนั้นได้
โจทย์ฟ้องขอให้+ทำนิติกรรมขายตึกระหว่างจำเลยที่ 1-2 กับจำเลยที่ 3 และให้โอนตึกพิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าโอนกรรมสิทธิไม่ได้ก็ขอให้จำเลยใช้เงินมัดจำคืน เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 เสีย และขอถอนคำขอท้ายฟ้องเรื่องที่จะขอให้ทำลายนิติกรรม การซื้อขายและคำขอให้โอนตึกเสีย ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งให้จำเลยที่ 1-2 ทราบเพราะจำเลยที่ 1-2 ต้องรับผิดในเรื่องคืนเงินมัดจำและดอกเบี้ย

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนทำลายนิติกาารการซื้อขายตึกระหว่างจำเลยทั้ง ๓ ให้จำเลยที่ ๑-๒ โอนกรรมสิทธิให้เป็นของโจทก์ถ้าโอนไม่ได้ใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ – ๒ ให้การว่าจำเลยที่ ๒ ได้ขายตึกให้จำเลยที่ ๓ โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน จำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาจะขายตึกแถวพิพาทให้โจทก์ครั้งหนึ่ง เพื่อเจตนาลวงเอาเปรียบผู้อื่นจำเลยที่ ๒ ไม่มีเจตนาอันแท้จริงจะซื้อขายตามสัญญาจำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว และตัดฟ้องว่าคดีขาดอายุความ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าจำเลยที่ ๑ – ๒ ได้ฟ้องขับไล่ให้จำเลยระหว่างอุทธรณ์ จำเลยที่ ๑-๒ ได้เสนอขายตึกพิพาทแก่คนหลายคน เพื่อหาทางขับไล่จำเลยที่ ๓ ๆ กลัวในที่สุดจำเลยที่ ๓ รับซื้อตึกพิพาทเสีย
เมื่อสืบพยานจำเลยที่ ๑-๒ แล้ว โจทก์แถลงขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ ๆ ไม่คัดค้าน ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยนับตั้งแต่ ๒๕ ก.ย.๙๑
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้คิดดอกเบี้ยตั้งแต่ ๒๖ ม.ค.๙๐
จำเลยที่ ๑-๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องอำนาจฟ้องนั้น ถึงแม้ว่าโจทก์จะเอาเงินของคนอื่นมาซื้อแต่สัญญาจะซื้อขายมีชื่อโจทก์เป็นคู่สัญญา โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจ
การที่โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๓ โดยไม่แจ่มให้จำเลยที่ ๑-๒ ทราบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำขอท้ายฟ้องขอให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายแลถอนคำขอให้โอนตึกรายพิพาท คงเหลือแต่เรื่องคืนเงินมัดจำกับดอกเบี้ย ย่อมเป็นอำนาจของโจทก์ที่จะทำได้
ส่วนข้อเท็จจริงคงฟังเช่นเดียวกันศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน

Share