แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นหญิงมีสามี ไม่อาจดำเนินคดีฟ้องร้องโดยลำพังตนเองได้เท่านั้น จำเลยไม่ได้คัดค้านว่า ไม่ได้รับอนุญาตจากสามี หรือหนังสืออนุญาตใช้ไม่ได้ เพราะเหตุใด เมื่อศาลพอใจในความสามารถของโจทก์ตามหนังสืออนุญาตของสามีโจทก์ที่ติดมาท้ายฟ้องแล้วเป็นอันฟังได้ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี ไม่จำต้องนำสืบอีก
โจทก์บรรยายฟ้องเรื่องทางจำเป็นและมีคำขอเรื่องภารจำยอมอยู่ท้ายฟ้อง แต่โจทก์มิได้บรรยายในฟ้องว่าเป็นทางภารจำยอมเพราะเหตุใด ย่อมต้องถือว่าโจทก์ฟ้องคดีในเรื่องทางจำเป็นอย่างเดียว
แม้เจ้าของที่ดิน ซึ่งตกอยู่ในที่ล้อมจะมีทั้งสิทธิที่จะผ่านที่ดินของผู้อื่นและหน้าที่ชดใช้ค่าทดแทนให้แก่เขาก็ดี มาตรา 1349 ไม่ได้บังคับให้ปฏิบัติหน้าที่เสียก่อนแล้วจึงใช้สิทธิได้ ฉะนั้นเมื่อจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิเรียกค่าทดแทนยังไม่เรียกร้องเอาค่าทดแทนขึ้นมาในคดีนี้ คดีก็ไม่มีประเด็นจะให้ศาลวินิจฉัยถึง (อ้างฎีกา 311/2489)
พิพาทกันเรื่องทางเดินวิวาทซึ่งรับกันว่าที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ที่ดินของจำเลยได้ล้อมอยู่ แม้โจทก์จะระบุเลขโฉนดผิด ก็ไม่เป็นการเสียหายแก่รูปคดีอย่างไร
โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นทางภารจำยอมศาลอุทธรณ์ฟังว่าเป็นทางภารจำยอมและทางจำเป็นพิพากษาให้เปิดทางจำเป็นคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินของโจทก์อยู่ในที่ปิดล้อมของที่สวนแปลง อื่น ๆ ไม่มีทางเดินออกสู่ทางสาธารณะ โจทก์ได้อาศัยที่ดินของจำเลยที่ 1, 2 ซึ่งเป็นที่สวนเดินออกสู่ทางสาธารณะอันเป็นทางลัดและใกล้ เป็นเวลา 5 ปีเศษ บัดนี้จำเลยทั้งสามสมคบกันทำรั้วปิดกั้นทางเดินและชักสะพานเสีย โจทก์ได้ขอร้องให้จำเลยเปิดทางตามเดิมจำเลยปฏิเสธ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้ง 3 รื้อสิ่งปิดกั้นไว้เปิดทางให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธารณะตามเดิม และขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินที่จำเลยที่ 1, 2 ตกอยู่ในภาระจำยอมซึ่งจะต้องเปิดทางให้โจทก์เดินตลอดไป จำเลยให้การว่าที่โจทก์มีทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้ ทางที่โจทก์ขอเปิดไม่ใช่ทางจำเป็น และตัดฟ้องว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามี ไม่อาจดำเนินคดีฟ้องร้องโดยลำพังตนเองได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า สามีโจทก์ได้อนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วและพิพากษาว่า ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ทางเดินในที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะ จึงตกเป็นภาระจำยอมต้องเปิดทางให้โจทก์เดิน บังคับให้จำเลยรื้อสิ่งกีดกั้นเปิดให้โจทก์เดินออกสู่ทางสาธาาณะได้ต่อไป ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ทางวิวาทเป็นทางจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยจะเรียกค่าทดแทน
โจทก์ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 โจทก์ได้ซื้อที่ดินข้างใน และใช้ทางรายพิพาทตลอดมาจนจำเลยปิดเสียเมื่อเดือนมีนาคม 2489 นอกจากทางพิพาทรายนี้ เจ้าของที่แปลงอื่นหวงห้ามไม่ยอมให้เดิน และวินิจฉัยว่า เรื่องอำนาจฟ้องจำเลยไม่ได้คัดค้านว่า โจทก์ไม่ได้รับอนุญาตจากสามีหรือหนังสืออนุญาตใช้ไม่ได้เพราะเหตุใด ศาลเป็นที่พอใจในความสามารถของโจทก์ตามหนังสืออนุญาตของสามีที่ติดมาท้ายฟ้องแล้ว
ปัญหาที่ว่าฟ้องของโจทก์จะเป็นเรื่องทางจำเป็น หรือเรื่องภาระจำยอม หรือทั้งสองอย่างนั้น แม้จะมีคำขอเรื่องภารจำยอมอยู่ท้ายฟ้องโจทก์ และมีคำว่าภารจำยอมอยู่ในหนังสือแจ้งความของทนายซึ่งติดมาพร้อมกับฟ้องก็ดี แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเป็นทางภารจะจำยอมเพราะเหตุใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรื่องทางจำเป็นอย่างเดียว และให้จำเลยเปิดทางชอบแล้ว
ข้อที่จำเลยคัดค้านว่า ผู้มีสิทธิผ่านที่ดินของผู้อื่นจำต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เสียก่อนการผ่านนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้เจ้าของที่ดินซึ่งตกอยู่ในที่ล้อมจะมีทั้งสิทธิที่จะผ่านที่ดินของผู้อื่นและหน้าที่ชดใช้ค่าทดแทน ให้แก่เขาก็ดี มาตรา 1349 ไม่ได้บังคับให้ปฏิบัติหน้าที่เสียก่อนแล้ว จึงจะมีสิทธิได้ฉะนั้น เมื่อจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของสิทธิเรียกค่าทดแทน ยังไม่ได้เรียกร้องเอาค่าทดแทนขึ้นมาในคดีนี้ คดีก็ไม่มีประเด็นจะให้ศาลวินิจฉัยถึง
คดีพิพาทกันเรื่องทางวิวาทซึ่งรับกันว่า ที่ดินโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อม ที่ดินจำเลยล้อมอยู่ แม้โจทก์จะระบุเลขโฉนดผิด ก็ไม่เสียหายแก่รูปคดี
พิพากษายืน