คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับเงินเบี้ยประกันชีวิตไว้แทนโจทก์ เมื่อไม่ใช่รับไว้ในฐานะเป็นตัวแทนของผู้เอาประกันชีวิตเพื่อนำไปมอบให้โจทก์แล้ว การที่จำเลยเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปเป็นของตนอันแสดงถึงเจตนาทุจริต โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกและมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ การที่จำเลยนำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีนั้น โจทก์ไม่ได้ตกลงด้วย จึงไม่เป็นการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ระงับไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 352 และ 353
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 3 ปี คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์อีกตำแหน่งหนึ่งในขณะที่จำเลยเป็นผู้จัดการภาคของโจทก์จำเลยเป็นผู้รับเงินเบี้ยประกันชีวิตไว้แทนโจทก์ หาใช่รับไว้ในฐานะเป็นตัวแทนของผู้เอาประกันชีวิตเพื่อนำไปมอบให้โจทก์ไม่เมื่อจำเลยเบียดบังเอาเงินดังกล่าวไปเป็นของตนอันแสดงถึงเจตนาทุจริต โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอกและมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ และจำเลยย่อมมีความผิดฐานยักยอกตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
ที่จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม2535 จำเลยได้นำเงินจำนวน 64,300 บาท ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ย่อมถือว่าโจทก์ยอมความไม่ดำเนินคดีแก่จำเลยต่อไปนั้นเห็นว่า การที่จำเลยนำเงินไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีนั้นโจทก์ไม่ได้ตกลงด้วย ดังนั้น จึงไม่เป็นการยอมความตามมาตรา 39(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ระงับไป
ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและขอให้รอการลงโทษให้จำเลย และได้ยื่นคำร้องลงวันที่ 20 มกราคม 2536 ว่าจำเลยได้วางเงินไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ ปัจจุบันจำเลยป่วยเป็นต้อกระจกที่ตาทั้งสองข้างมองไม่ค่อยเห็น และจำเลยมีอายุ 61 ปีแล้ว ขอความปรานีต่อศาลฎีกานั้นเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดียังไม่มีเหตุอันควรปรานีที่จะรอการลงโทษให้จำเลย แต่การที่จำเลยได้นำเงินจำนวนที่ยักยอกไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี เพื่อชำระหนี้ให้โจทก์นั้นเป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดอย่างหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 ปี นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าหนักเกินไป เห็นสมควรแก้ไข
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือนรวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share