คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1240/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินมีโฉนดกัน ระบุจำนวนเนื้อที่ที่ดินตามที่ปรากฏในโฉนดลงไว้ในสัญญาด้วย ต่อมาปรากฏว่าเนื้อที่ที่ดินที่เป็นจริงมีจำนวนไม่ครบ ตามที่ปรากฏในโฉนดเป็นจำนวนเกินกว่าร้อยละ 5 ของที่ดินทั้งหมด ผู้จะซื้อย่อมอาจบอกปัดขอเลิกสัญญาเสียก็ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 นี้ไม่ใช่ใช้บังคับเฉพาะที่ดินไม่มีโฉนดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง มีเนื้อที่ 974 ตารางวา ให้แก่โจทก์เป็นราคาแปดแสนบาท โดยระบุเนื้อที่ตามโฉนดในสัญญาด้วย โจทก์วางมัดจำไว้หกหมื่นบาทต่อมาโจทก์ทราบว่าเนื้อที่ดินขาด แต่ตกลงเพิ่มลดราคาที่ดินที่ขาดกันไม่ได้ จึงบอกเลิกสัญญาขอคืนมัดจำและเรียกค่าเสียหาย จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้อง

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทถูกตัดถนนเนื้อที่ครบหรือไม่ไม่เคยตรวจสอบ ไม่เคยรับรองว่าจะส่งมอบที่ดินเต็ม 974 ตารางวา และว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ที่โจทก์อ้างนั้นใช้บังคับสำหรับที่ดินไม่มีโฉนด

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนมัดจำหกหมื่นบาทแก่โจทก์ ฯลฯ

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าการซื้อขายที่ดินนั้นตามธรรมดาก็เป็นที่เข้าใจกันว่าจำนวนที่ดินก็คงมีตามที่แจ้งอยู่ในหนังสือสัญญาหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน เว้นแต่จะบอกกล่าวกันเป็นอย่างอื่น คดีนี้จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกโจทก์ว่าที่ดินมีน้อยกว่าที่ปรากฏในหนังสือสัญญาหรือในโฉนด เมื่อปรากฏในภายหลังว่าที่ดินเนื้อที่ขาดไปจากจำนวนที่ปรากฏในสัญญาถึง 73 ตารางวาเศษเกินกว่าร้อยละ 5 ของเนื้อที่ทั้งหมดที่ซื้อขายกัน โจทก์ชอบที่จะขอลดราคาลงตามส่วน หรือบอกปัดเสียก็ได้ ที่จำเลยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ใช้สำหรับการซื้อขายที่ดินยังไม่มีโฉนดนั้นหาถูกต้องไม่จึงพิพากษายืน

Share